หินพังหล่นทับกุฏิพระพังยับ ส่วนพระโดนหินทับเสียชีวิตคาซากกุฏิ ชาวบ้านเชื่ออาจเกิดจากเหตุอาเพศ ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ

เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 2 ธันวาคม 64 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทลุงพร้อม เจ้าหน้าที่กำลังอาสาสมัครกู้ภัยพัทลุงได้รับแจ้งจากชาวบ้านทางโทรศัพท์ว่าเกิดเหตุเขาพัง หินก้อนใหญ่หล่นทับกุฏิพระ และคาดว่าพระมหาจรัญ บุญสุวรรณ อายุ 71 ปี ยังคงติดอยู่ใต้ซากกุฏิ เพราะได้เดินมาตะโกนเรียกแล้วหลายครั้งแต่ไร้เสียงตอบรับ จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมชุดเครื่องเลื่อยยนต์เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ บริวณริมเชิงเขา ม.11 ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง เมื่อไปถึงปรากฎว่ากุฏิพระรูปดังกล่าว ตั้งอยู่ริมเชิงเขาเมือง ต้องเดินเท้าเข้าไปจากถนนประมาณ 200 เมตร ซึ่งทางที่ต้องเดินเท้าผ่านเข้าไป และเต็มไปด้วยโคลนตมกับก้อนหินก้อนใหญ่ 3-4 ลูกที่ตกจากเขา สังเกตุไปตรงกุฏิ ปรากฎว่ากุฏิหลังดังกล่าวโดนหินและต้นไม้หล่นทับจนพังเสียหายทั้งหมด จึงใช้มีดพร้าฟันหญ้าและใช้เลื่อยยนต์ตัดกิ่งไม้ใหญ่ที่ทับหลังคาอยู่ เพื่อช่วยค้นหาร่างของพระมหาจรัญ ฯ เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาน 40 นาทีก็พบร่างของพระมหาจรัญฯ โดนต้นไม้ล้มทับหลังคาเสียชีวิตอยู่ใต้ซากกุฏิ

เจ้าหน้าที่ร้อยเวรสั่งการให้ จนท.กู้ภัยนำร่างผู้เสียชีวิตลงมาด้านล่าง ท่ามกลางชาวบ้านจำนวนมากที่รอดูกันอยู่ เพื่อถ่ายภาพเป็นหลักฐานและส่งต่อให้แพทย์ รพ พัทลุงชันสูตรเพิ่มเติมที่ รพ.พัทลุง ต่อไป

ด้านพระมหาจรัญ ฯ ที่อยู่ตามบัตรประชาชน บ้านเลขที่ 81 ถ.คูหาสวรรค์ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง บวชเป็นพระอยู่ประจำวัดคูหาสวรรค์ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง และย้ายมาอยู่ที่กุฏิแห่งนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว เป็นพระที่ชาวบ้านเคารพนับถือศรัทธา ทั้งชาวบ้านในพื้นที่พัทลุงและต่างจังหวัด เช่น อ.หาดใหญ่,นครศรีฯ,สุราษฎร์ธานี,และปัตตานี ฯลฯ ต่างพากันมาทำบุญ ใส่บาตร อยู่เป็นประจำ

สอบถามนายวิเชียร ดำทองอายุ 71 ปี เจ้าของบ้านหลังที่อยู่ใกล้กับกุฏิพระหลังดังกล่าวได้เล่าว่า “เมื่อเวลาประมาน 22.30 น. ตนได้ยินเสียงดังสนั่นมาก ตอนแรกคิดว่าเสียงฟ้าร้อง พอออกไปดูก็พบว่าหินก้อนใหญ่มากกลิ้งลงมาจากเขาเมือง จนสะเก็ดหินกระเด็นโดนหลังคาบ้าน กระเบื้องแตกไปหลายแผ่น เมื่อเสียงเงียบจึงออกมาดูและรีบวิ่งไปที่กุฏิของพระมหาจรัญ ฯ แต่ภาพที่ตนเห็นคือกุฏิพังยับเยิน จึงตะโกนเรียกแต่ก็ไร้เสียงตอบรับ จึงโทรแจ้งกู้ภัยเข้าช่วยตรวจสอบค้นหาดังกล่าว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ชาวบ้านเชื่อว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์ร้ายแรง เพื่อเตือนให้รู้ว่าจะเกิดเหตุอาเพศต่อจังหวัดพัทลุงหรือไม่ก็เป็นได้ ไม่ใช่แค่ภัยตามธรรมชาติเพียงเท่านั้น.