ยก ชูบัวหรือโนรายก ชูบัว เป็นมโนราห์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในภาคใต้ ท่านมีความสนใจในการรํามโนราห์มาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก และได้รํามโนราห์เรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมเวลาที่ท่านรำมโนราห์นานกว่า ๕๐ ปี
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้มีจิตใจรักทางการรํามโนราห์อย่างแท้จริง ตลอดถึงเป็นมโนราห์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมสูงมากคนหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ท่านรำมโนราห์ ท่านได้สร้างชื่อเสียงไว้มากมาย อาทิ การรำมโนราห์ที่มหาวิทยาลัยปีนัง ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย การต้อนรับทูตวัฒนธรรม ๒๕ ประเทศ ที่กรุงเทพฯ การรําถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เกาะอาดัง ตําบลเกาะสาหร่าย อําเภอเมืองสตูล การรําถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศ เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่าในรายก ชูบัว เป็นผู้มีวิญญาณศิลปินในการรำมโนราห์อย่างแท้จริง และเป็นผู้ที่มีอัจฉริยะในการรํามโนราห์มากคนหนึ่งในภาคใต้ นอกจากการรํามโนราห์ที่สําคัญ ๆ ดังกล่าวแล้ว ท่านยังเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแต่งบทกลอนโนราได้ดีอีก ซึ่งบทกลอนโนราที่ท่านใช้ขับร้องในการรํามโนราห์ส่วนมากจะเป็นบทกลอนที่ท่านแต่งขึ้นเอง ตลอดถึงท่านยังแต่งบทกลอนโนราให้ผู้อื่นขับร้องอีกด้วย ซึ่งบทกลอนโนราเหล่านี้ได้สะท้อนเป็นแนวคิดของในรายก ชูบัว ได้เป็นอย่างดี และขณะเดียวกันก็สะท้อนภาพทางสังคม
โนรายก ชูบัว เกิดเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ตรงกับวันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ ที่บ้านทะเลน้อยตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง บิดาชื่อเลิศ เป็นชาวบ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง มีอาชีพทํานา มารดาชื่อเลี่ยม เป็นชาวบ้านนาพรุ ตําบลเขาชัยสน อําเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง มีอาชีพทํานา หลังจากบิดาและมารดาได้แต่งงานกัน บิดามารดาของโนรายก ชูบัว ได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นบ้านของทางฝ่ายบิดา โดยอาศัยอยู่ร่วมกับปู่และย่า และบิดามารดาก็ยังคงประกอบอาชีพทำนา ในการที่โนรายก ชูบัว มีตาเป็นโนราที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในสมัยนั้นชื่อ “โนราอ้น” หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันทั่วไปในนามของ “โนราถั่วเขียว” ซึ่งโนราถั่วเขียวคนนี้เป็นครูของโนราชื่อดังคนหนึ่งในอดีตคือท่านขุนอุปถัมภ์นรากร หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันดีในนามของ “โนราทุ่มเทวา” ซึ่งเรื่องนี้ท่านได้เล่าถึงโนราถั่วเขียวกับท่านขุนอุปถัมภ์นรากรไว้สรุปได้ว่าท่านขุนอุปถัมภ์นรากรเคยหัดรําโนรากับโนราถั่วเขียวมาก่อน ตั้งแต่ท่านขุนอุปถัมภ์นรากรยังเป็นเด็กเมื่อมีอายุได้ ประมาณ ๔ ปี ท่านมักจะได้ยินท่านขุนอุปถัมภ์นรากรเรียกโนราถั่วเขียวว่า “บ่าวอ้น” ซึ่งคําว่า “บ่าว” (พี่) นั้นชาวภาคใต้มักจะใช้เรียกกันระหว่างผู้ที่รู้จักคุ้นเคยสนิทสนมกันเป็นอย่างดีรวมถึงผู้ที่มีความเคารพนับถือกันหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า
โนรายก ชูบัว เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา เมื่ออายุได้ ๓ ปี บิดามารดาได้แยกทางกัน บิดาไปแต่งงานกับภรรยาคนใหม่ชื่อนาถ และทั้งคู่ได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่บ้านท่าช้าง ตําบลเขาชัยสน อําเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นบ้านของทางฝ่ายภรรยา และมีบุตรด้วยกันคนเดียวเป็นชายชื่อว่าไข่ดํา ต่อมาบิดาได้แต่งงานกับภรรยาคนใหม่อีกคนหนึ่งชื่อดํา ซึ่งทั้งคู่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านท่าช้าง ตําบลเขาชัยสน อําเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง และมีบุตรด้วยกัน ๓ คน ซึ่งมีชื่อเรียงตามลําดับจากคนแรกดังนี้ เปี๊ยก (หญิง) มาลี (หญิง) และมานะ (ชาย) โนรายก ชูบัว ได้กล่าวถึงการที่ท่านได้ชื่อว่า “ยก” นั้นก็เนื่องจากเมื่อตอนที่ท่านเกิดนั้นท่านเป็นเด็กที่มีสุขภาพไม่ค่อยจะดี บิดามารดาและญาติพี่น้องต่างก็คิดว่าท่านคงจะไม่รอดชีวิตอย่างแน่นอน ทุกคนต่างก็มีความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงได้นําท่านห่อด้วยผ้าขาวเพื่อจัดเตรียมจะนําไปฝังแล้ว เมื่อข่าวนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงตาอ้นหรือที่ชาวบ้านรู้จักกันทั่วไปในนามของ “ โนราถั่วเขียว ” ซึ่งเป็นโนราที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในจังหวัด พัทลุงสมัยนั้น โนราถั่วเขียวจึงได้บนบานกับครูหมอตายายโนรา (เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษซึ่งเป็นที่นับถือของโนรา) เพื่อขอให้หลานชายรอดชีวิต โดยได้บนบานไว้ว่า “ถ้ารอดชีวิตแล้วจะให้ออกพรานสักคน ” (คือจะให้แสดงโนราสืบทอดต่อไป) เพราะตนเองก็แก่มากแล้ว คงจะรําโนราไปได้อีกไม่นาน ดังนั้นเมื่อในรายก ชูบัว รอดชีวิต ในราถั่วเขียวจึงเชื่อว่าเป็นเพราะอํานาจของครูหมอตายายโนราได้ช่วยชีวิตไว้ ด้วยเหตุนี้เองโนราถั่วเขียวจึงให้ชื่อหลานชายว่า “ยก” ซึ่งหมายถึงการยกให้เป็นลูกของครูหมอตายายโนรา
ชีวิตในวัยเด็กของโนรายก ชูบัว หลังจากที่บิดากับมารดาได้แยกทางกันแล้ว และบิดามีภรรยาใหม่และได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของทางฝ่ายภรรยาใหม่ที่บ้านท่าช้าง ตําบลเขาชัยสน ภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง โนรายก ชูบัว กับแม่จึงได้อาศัยอยู่กับปู่และย่าที่บ้านทะเลน้อย บ้านพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (ซึ่งเป็นบ้านที่บิดามารดาเคยอาศัยอยู่เดิม) และช่วยกันสอนหนังสือให้ในรายก ชูบัว อ่านออกเขียนได้ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน
เมื่ออ่านออกเขียนได้แล้วในรายก ชูบัว จะต้องอ่านหนังสือวรรณคดีให้ปู่ฟังแทบทุกวัน ทำให้ในรายก ชูบัว อ่านหนังสือได้ดีขึ้นตามลําดับ จนกระทั่งมีอายุได้ ๘ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ปู่จึงได้พาโนรายก ชูบัว ไปเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดควนพนางตุง ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ทางโรงเรียนเห็นว่าโนรายก ชูบัว สามารถ อ่านเขียนได้เป็นอย่างดีมาก่อนแล้ว จึงให้เริ่มเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โนรายก ชูบัว เรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน โดยท่านได้เล่าถึงความสนใจในระหว่างที่ท่านกําลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนนี้ซึ่งสรุปได้ว่า ในระหว่างที่ท่านกําลังเรียนหนังสืออยู่ในชั้นประถมศึกษานั้นท่านมีความสนใจในการเล่นลิเกป่ามาก (เนื่องจากบิดาเคยเล่นลิเกป่ามาก่อน) อีกทั้งชอบว่าบทกลอนและอ่านหนังสือวรรณคดีต่าง ๆ ก็เพราะท่านเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนและมีความสามารถในการเล่นลิเกป่านี้เอง ดังนั้นเมื่อทางโรงเรียนจัดให้มีงานต่าง ๆ ท่านมักจะได้รับการคัดเลือกให้แสดงลิเก และท่านมักจะแสดงเป็นตัวนางเงือกในเรื่องที่ลิเกใช้แสดง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าโนรายก ชูบัว เป็นผู้ที่มีใจรักทางการรําและการแสดงมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก
การทํางาน
หลังจากที่โนรายก ชูบัว จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนวัดควนพนางตุง ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง แล้วในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ต่อมาครูทิม พุฒ ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดทะเลน้อย ตําบลทะเลน้อย อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ได้มาติดต่อขอให้โนรายก ชูบัว ไปเป็นครูที่โรงเรียนวัดทะเลน้อย เนื่องจากขณะนั้นทาง โรงเรียนขาดอัตรากําลังครู โดยได้ตกลงว่าจะให้เงินเดือนท่านเดือนละ 4 บาท และได้ตกลงไว้อีกว่าหลังจากทํางานแล้ว ๓ เดือน ก็จะเพิ่มเงินเดือนให้อีกเดือนละ ๒ บาท รวมเป็น เงินเดือน ๆ ละ ๑๐ บาท แต่ท่านตอบปฏิเสธเนื่องจากขณะนั้นท่านได้ตัดสินใจที่จะไปรำมโนราห์อยู่กับคณะโนราเลื่อน พงศ์ชนะ ซึ่งญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายภรรยาซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันกับบ้านของท่านเองคือที่บ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
เมื่อโนรายก ชูบัว รำมโนราห์เสร็จแล้วท่านจะกลับไปพักอยู่ที่บ้านของท่าน เอง โดยท่านจะมีรายได้จากการรําโนราคืนละ ๑ บาท (เฉพาะคืนที่ว่าโนรา) ซึ่งเมื่อรวมรายได้ แล้วท่านจะมีรายได้ จากการร่าโนราเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า ๒๐ บาท อีกทั้งท่านเห็นว่าการรำมโนราห์อยู่กับคณะโนรา เลื่อน พงศ์ชนะ นั้นเท่ากับเป็นการฝึกความชํานาญและเพิ่มประสบการณ์ในการรำมโนราห์ให้กับตนเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะทําให้ท่านได้แสดงออกในสิ่งที่ท่านชอบ และเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ท่านมีชื่อเสียงในการรำมโนราห์มากยิ่งขึ้น ทำให้ท่านรำมโนราห์อยู่ในคณะโนราเลื่อน พงศ์ชนะ มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งท่านมีอายุได้ ๑๖ ปี (ปี พ.ศ. ๒๔๘๑)
เมื่อเห็นว่าตนเองมีความสามารถในการราโนราสูงพอ และสามารถเล่นเป็นตัวตลกอีกทั้งสามารถขับบทกลอนโนราได้เป็นอย่างดีแล้ว ท่านจึงได้ขอแยกตัวจากคณะโนราเลื่อน พงศ์ชนะ มาตั้งคณะโนราห์ของตนเองขึ้น โดยใช้ชื่อคณะมโนราห์โนราของตนว่า “โนรายก ทะเลน้อย” ซึ่งเป็นการนําเอาชื่อของตนเองและชื่อบ้านเกิดของท่านมารวมกันตั้งเป็นชื่อของคณะในรา หลังจากตั้งคณะมโนราห์ของตนเองแล้ว โนรายก ชูบัว ก็ได้รับงานแสดงโนราทั่วเกือบทุกจังหวัดในภาคใต้และในบางจังหวัดทางภาคกลาง โดยเฉพาะในช่วงนั้นท่านจะรับงานแสดงมโนราห์มากเป็นพิเศษในเขตจังหวัดภูเก็ต พังงา และพัทลุง ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่ท่านเคยไปแสดงโนราเป็นประจํา เมื่อครั้งอยู่กับคณะของโนราเลื่อน พงศ์ชนะ ท่านจึงมีความคุ้นชินกับเขตพื้นที่ดังกล่าว
อีกทั้งยังมีความสนิทสนมกับผู้ชมหลายคน โดยเฉพาะมีความสนิทสนมกับแม่ยกเป็นอย่างดี โดยท่านมักจะแสดงมโนราห์สลับเขตพื้นที่ คนละช่วงฤดูกันระหว่างในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและพังงาเขตหนึ่ง กับในเขตพื้นที่จังหวัดพัทลุง อีกเชิดหนึ่ง เนื่องจากเมื่อทางเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาย่างเข้าฤดูฝน ทางเขตจังหวัดพัทลุงจะย่างเข้าฤดูร้อน และเมื่อทางเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาย่างเข้าฤดูร้อน ทางเขตจังหวัดพัทลุงจะย่างเข้าฤดูฝน รวมเวลาที่ท่านแสดงมโนราห์อยู่ในเขตจังหวัดภูเก็ต พังงา และพัทลุง เป็นเวลานานถึง ๔ ปี หลังจากนั้นท่านจึงเข้าได้พิธีครอบเทริด (หรือพิธีผูกผ้าใหญ่) โดยมีโนราวัน (เผ่า) โนราที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในสมัยนั้น ซึ่งอยู่ที่บ้านหลวงครู ตําบลอินคีรี อําเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช
เป็นผู้ทําพิธีครอบเทริดให้ ซึ่งพิธีครอบเทริดนี้ถือว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์และมีความสําคัญมากต่อผู้ที่มีอาชีพเป็นโนรา ซึ่งโนรายก ชูบัว ได้เล่าถึง การเข้าพิธีครอบเทริดของตนเองไว้สรุปได้ว่า เมื่อท่านได้รับงานแสดงมโนราห์ในเขตจังหวัดภูเก็ต พังงา และพัทลุง สลับกันคนละช่วงฤดูอยู่เป็นประจําซึ่งรวมเวลาได้ ๕ ปี ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เมื่อครั้งที่ท่านยกคณะโนรากลับจากแสดงในเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาจะไปแสดงที่จังหวัดพัทลุงนั้น ท่านได้มีโอกาสพบกับโนราวัน (เฒ่า) ซึ่งอยู่ที่บ้านหลวงครู ตําบลอินคีรี อําเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช โนราวัน (เฒ่า) มีความสนิทสนมเป็นอย่างดีกับโนราเลื่อน พงศ์ชนะ
เนื่องจากเคยได้ประชันโนราด้วยกันหลายครั้ง เมื่อโนราวัน (เฒ่า) ยก คณะโนรามาแสดงที่บ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็น เขตบ้านที่บ้านของโนรายก ชูบัว ตั้งอยู่ และท่านก็อยู่ที่บ้านนี้ทุกครั้ง เมื่อท่านยกคณะโนรากลับจังหวัดพัทลุง และเป็นเหตุบังเอิญที่คณะของโนราวัน (เฒ่า) ขาดคนรํามโนราห์ในขณะนั้น โนราวัน (เฒ่า) จึงได้สอบถามกับโนราเลื่อน พงศ์ชนะ ว่ามีใครที่มีความสามารถรําโนราได้ดีบ้าง เพื่อจะชักชวนให้ไปรํามโนราห์อยู่ในคณะโนราของตนเอง โนราเลื่อน จึงได้บอกกับโนราวัน (เผ่า) ว่ามีโนรายก ชูบัว แห่งบ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถในการรํามโนราห์ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่น สนใจศึกษาหาความรู้ด้านมโนราห์เป็นอย่างยิ่ง ครั้นเมื่อโนราเลื่อนได้บอกกล่าวกับท่านถึงเรื่องที่ในราวัน (เฒ่า) ต้องการผู้ที่สามารถรํามโนราห์ได้ดี เพื่อให้ไปอยู่กับคณะของโนราวัน (เต่า) ท่านจึงได้ตอบตกลงที่จะไปฝึกหัดรําโนราอยู่กับโนราวัน (เฒ่า) และได้ฝึกรําโนรากับในราวัน (เฒ่า) อยู่เป็นเวลานาน โดยได้เน้นการฝึกรำทําบทอยู่เป็นเวลานานถึง ๓ เดือน จึงทําให้ท่านมีความชํานาญในการทําบทมโนราห์มากขึ้น จนสามารถทําเลียนแบบครูคือ ในราวัน (เฒ่า) ได้ดี เมื่อท่านเห็นว่าตนเองมีความสามารถรํามโนราห์ได้เป็นอย่างดี แล้วจึงได้คิดแปลงท่ารํามโนราห์ขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นท่ารํามโนราห์ที่เป็นแบบเฉพาะของตนเอง หลังจากนั้นในราวัน (เฒ่า) จึงได้ทําพิธีครอบเทริดให้กับโนรายก ชูบัว ซึ่งพิธีนี้ถือว่าเป็นพิธีที่มีความสําคัญและศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสําหรับผู้ที่จะเป็นนายโรงโนราหรือหัวหน้าคณะมโนราห์ต่อไป ซึ่งเรื่องนี้สาโรช นาคะวิโรจน์ อุดม หนูทอง โนราสวัสดิ์ ช่วยพูลชู อาจารย์ สอนนาฏศิลปะพื้นเมือง (โนรา) ที่วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช (เป็นหลานชายของขุนอุปถัมภ์นรากร) ได้กล่าวถึงพิธีครอบเทริดไว้สอดคล้องกันซึ่งสรุปได้ว่าพิธีครอบเทริดเป็นพิธีที่ครูโนราได้กระทําขึ้นเพื่อรับรองความรู้ความสามารถและความเป็นที่ สมบูรณ์ของศิษย์ โดยการครอบเทริดให้
ซึ่งถือเสมือนว่าศิษย์ผู้นั้นได้รับประกาศนียบัตรที่ ประกาศความเป็นมโนราห์โดยสมบูรณ์ตามแบบที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ มโนราห์ที่ผ่านพิธีครอบเทริดแล้ว สามารถที่จะประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของโนราได้อย่างสมบูรณ์ มโนราห์แต่ละคนจะเข้าพิธีครอบเทริดได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งจะแตกต่างกับโขนหรือละครที่มักจะจัดให้มีพิธีเช่นนี้ทุกปี โนราที่มีความรู้ความสามารถในการรํามโนราห์ได้ดีเพียงใดก็ตาม หากไม่ได้ผ่านพิธีครอบเทริดถือว่าเป็นโนราที่ไม่สมบูรณ์ เรียกกันว่าเป็น “โนราดิบ“ ไม่สามารถที่จะประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมโนราห์ได้ และถ้าหากไม่ได้เข้าพิธีครอบเทริดโดยที่มโนราห์คนนั้นแต่งงานเสียก่อน ก็จะเรียกกันว่าเป็น “โนราปราชิก“ พิธีครอบเทริดจึงถือได้ว่าเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์และ สําคัญยิ่งในชีวิตของผู้ที่เป็นโนรา เมื่อครั้งที่โนรายก ชูบัว ตั้งคณะโนราของตนเองใหม่ ๆ นั้น มีนายแบน ชูบัว ซึ่งเป็นลุงของท่านและเป็นผู้ที่มีจิตใจรักทางด้านการแสดงพื้นบ้าน เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้วยดี และรับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมคณะโนรายก ทะเลน้อย ไม่ว่าคณะโนรายก ทะเลน้อย
จะไปแสดงที่ไหนนายแบนจะต้องเป็นธุระจัดการในเรื่องต่าง ๆ ให้ เช่น เกี่ยวกับเครื่องดนตรี เครื่องแต่งตัว การแต่งตัว เป็นต้น และที่สําคัญอีกอย่างหนึ่งคือนายแบนเป็นผู้ที่มีความสามารถตีทับ ซึ่งเป็นดนตรีประกอบการแสดงโนราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นนายแบน จึงทําหน้าที่เป็นคนตีทับของคณะโนรายก ทะเลน้อย ด้วย
เมื่อโนรายก ชูบัว มีอายุได้ ๒๑ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ท่านได้รับการคัดเลือกด้วยวิธีการจับฉลากเข้ารับราชการเป็นพลตํารวจ ณ สถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองพัทลุง ตําบลคูหาสวรรค์ อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง โดยได้รับเงินเดือน ๆ ละ ๑๑ บาท ๒ สลึง ในระหว่างที่รับราชการตํารวจอยู่นั้น โนรายก ชูบัว ก็ยังคงแสดงโนราควบคู่ไปด้วย ซึ่งโนรายก ซูบัว ได้เล่าถึงการแสดงโนราในระหว่างที่ท่านรับราชการตํารวจอยู่สรุปได้ว่า ครั้งหนึ่งทางจังหวัดพัทลุงได้จัดให้มีการประชันโนราที่วัดโคกชะงาย ตําบลโคกชะงาย อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ในครั้งนั้นมีโนราคณะต่าง ๆ มากมาย มาร่วมประชันกัน คณะโนรายก ทะเลน้อย ได้เข้าร่วมประชันในครั้งนั้นด้วย และเป็นเหตุบังเอิญที่จ่ากอง (หัวหน้าตํารวจซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโนรายก ชูบัว โดยตรง)
ได้เห็นรายชื่อของคณะโนราที่เข้าประชันในครั้งนั้นว่า มีชื่อของคณะโนรายก ทะเลน้อย รวมอยู่ด้วย จ่ากองจึงไม่อนุญาตให้ในรายก ชูบัว เข้า ร่วมประชันโนราในครั้งนั้น เนื่องจากจ่ากองได้ให้โนรายก ชูบัว และพลตํารวจที่เป็นเพื่อนกับท่านอีกประมาณ ๓-๔ คน ไปมุงหลังคาอาคารที่อยู่ในบริเวณสถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองพัทลุง ตําบลคูหาสวรรค์ อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง โนรายก ชูบัว ได้แจ้งกับจากองว่าท่านไม่มีความสามารถมุงหลังคาอาคารได้ จ่ากองจึงได้ลงโทษโนรายก ชูบัว โดยการแต่งตั้งให้ท่านมีหน้าที่เฝ้าเวรยามที่สถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองพัทลุง ตําบลคูหาสวรรค์ อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ในคืนที่มีการประชันมโนราห์กันนั้น โนรายก ชูบัว จึงได้ให้โนราลั่น เพชรสุข หรือที่ชาวจังหวัดพัทลุงรู้จักกันดีในนามของ “โนราลั่น ทะเลน้อย ” เข้าประชันโนรา ในนามของคณะโนรายก ทะเลน้อย แทนตน เมื่อถึงคืนที่มีการประชันโนรานั้น โนรายก ชูบัว ได้ฝากให้เพื่อนอยู่เวรยามแทน ส่วนตัวท่านเองต้องรีบไปงานประชันมโนราห์ให้ทันเนื่องจากได้ บอกรับงานการแสดงมโนราห์ไว้แล้ว แต่เมื่อท่านไปถึงสถานที่ที่ประชันโนรานั้นก็เป็นช่วงสุดท้ายของการประชันมโนราห์แล้ว ท่านจึงไปไม่ทันในช่วงรํามโนราห์ แต่ท่านก็ได้ออกตัวพรานทันเวลาพอดี ซึ่งการออกพรานของท่านในครั้งนั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก ผลการประชันโนรา ในคืนนั้นปรากฏว่าคณะมโนราห์ของโนรายก ชูบัว ได้รับชัยชนะจากผู้ชมอย่างท่วมท้น
เมื่อโนรายก ชูบัว มีอายุได้ ๒๔ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้ลาออกจากการรับราชการตํารวจ แล้วกลับมาอยู่ร่วมกับภรรยาที่บ้านโคกคราม ตําบลบ้านใหม่ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยท่านยึดอาชีพการแสดงโนราเป็นหลัก รวมถึงแสดงลิเกป่าและแสดงลิเกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ท่านได้เล่าถึงการแสดงลิเกของตนเองไว้สรุปได้ว่าการที่ท่านมีความสามารถในการแสดงลิเกนั้น เนื่องจากท่านได้เคยแสดงลิเกอยู่กับคณะลิเกแก้วราหู ซึ่งเป็นคณะลิเกที่มีชื่อเสียงมากคณะหนึ่งในเขตอําเภอระโนด จังหวัดสงขลา ในสมัยนั้น เมื่อท่านสามารถแสดงลิเกได้แล้ว ในบางครั้งท่านจะมีการเปลี่ยนการแสดงกับคณะลิเกแก้วราหู คือให้คณะลิเกแก้วราหูแสดงมโนราห์ ส่วนตัวท่านเองได้ไปแสดงลิเกแทน จึงทําให้ท่านมีประสบการณ์ ในการร่ายรํามากยิ่งขึ้น แต่ท่านจะเน้นไปในการแสดงมโนราห์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งท่านได้เล่าเกี่ยวกับการแสดงโนราไว้ว่าครั้งหนึ่งใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ คณะกรรมการวัดจะทิ้งพระ ตําบลจะทิ้งพระ อําเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ได้จัดงานประจําปีขึ้น ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นทุก ๆ ปี โดยมี โนราคณะต่าง ๆ เข้าร่วมประชันกันปีละ ๓-๔ คณะ ในปีนั้นทางคณะกรรมการวัดได้ติดต่อขอให้คณะของโนรายก ทะเลน้อย ไปประชันมโนราห์กับโนราเทพ (สองกุก) ซึ่งเป็นคณะโนราที่มี ชื่อเสียงมากของจังหวัดนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น ปรากฏว่าในการประชันโนรากันในปีนั้น คณะโนรายก ทะเลน้อย เป็นฝ่ายชนะ ทางคณะกรรมการวัดได้มีสัญญาไว้ว่าถ้ามโนราห์คณะใดชนะ ก็จะรับให้เข้าร่วมประชันมโนราห์อีกในปีต่อไป ดังนั้นในปีต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๐ โนรายก ชูบัว จึงได้นําคณะมโนราห์เข้าร่วมประชันมโนราห์อีก ผลปรากฏว่าคณะของโนรายก ชูบัว ได้รับชัยชนะอีก และสามารถชนะในการประชันมโนราห์ในงานนี้ติดต่อกันมาถึง ๑๒ ปี ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าโนรายก ชูบัว เป็นผู้ที่มีความสามารถในการรํามโนราห์เป็นอย่างดี จนมีชื่อเสียงและได้รับความ นิยมจากผู้ชมทั่วไปมาก
อุปสมบท
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งขณะนั้นโนรายก ชูบัว มีอายุได้ ๒๐ ปี ได้เข้าอุปสมบทตามประเพณีของผู้ชายไทยทั่วไป ณ วัดควนปันนแต ตําบลควนปันนแต อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง โดยมีพ่อท่านแก้ว วัดควนปันนแต เป็นพระอุปัชฌาย์ พ่อท่านคล้าย วัดสนทรา ตําบลทะเลน้อย อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และพ่อท่านนวล วัดประดู่หอม (บน) ตําบลทะเลน้อย อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบท แล้วได้รับฉายาว่า “ธมฺมทินโน” โดยไปจําพรรษาอยู่ที่วัดทะเลน้อย ตําบลทะเลน้อย อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นเวลา ๑ พรรษา
โนรายก ชูบัว อุปสมบทอยู่เป็นเวลา ๑ พรรษา จึงลาสิกขาออกมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลังจากลาสิกขาแล้วท่านได้เดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต ท่านได้เล่าถึงสาเหตุที่ท่านได้กลับไปภูเก็ตเนื่องจากท่านมีความคุ้นเคยกับเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างดียิ่ง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ท่านแสดงมโนราห์กับคณะของโนราเลื่อน พงศ์ชนะ อีกทั้งท่านยังมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับบรรดาแม่ยกมโนราห์อีก ด้วย และหลังจากที่ท่านได้กลับจากจังหวัดภูเก็ตแล้วท่านก็ได้เข้ารับราชการตํารวจที่สถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองพัทลุง ตําบลคูหาสวรรค์ อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัด พัทลุง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่ออายุได้ ๒๓ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งขณะรับราชการตํารวจอยู่นั้นท่านได้แต่งงานกับนางสาวกล่ำ พงศ์ชนะ (หลานสาวของโนราเลื่อน พงศ์ชนะ) ชาวบ้านโคกคราม ตําบลบ้านใหม่ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา หลังจากแต่งงานแล้วท่านได้ย้ายกลับมาอยู่ร่วมกับภรรยาที่บ้านโคกคราม ตําบลบ้านใหม่ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา และอยู่ที่นี่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ท่านกับภรรยาก็ไม่มีบุตรด้วยกัน
จึงได้ขอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมและตั้งชื่อให้ว่าโนรี ซึ่งเรื่องนี้โนรายก ชูบัว ได้เล่าไว้ว่าหลังจากแต่งงานแล้วท่านกับภรรยาไม่มีบุตรด้วยกัน จนกระทั่งท่านมีอายุได้ ๒๕ ปี ซึ่งขณะนั้นยังคงนําคณะมโนราห์ไปแสดงยังที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ ครั้นเมื่อกลับมาบ้านที่ตําบลบ้านใหม่ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา
วันหนึ่งท่านไปซื้อปลาที่ตลาดบ้านปากแตระ ตําบลปากแตระ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา ได้พบกับมารดาของเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งผู้เป็นมารดามีรูปร่างผอมมากจนดูเหมือนจะไม่สามารถให้นมกับลูกของตนได้ และเป็นผู้มีฐานะยากจน บ้านที่มารดาของเด็กหญิงคนนั้นอาศัยอยู่ก็อยู่ในละแวกนั้น ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของพวกคอนชุมโนรา (พวกหาบที่เก็บเครื่องแต่งกายของโนรา) พวกคอนชุมโนราจึงมักจะแวะพักผ่อนก่อนที่จะเดินทางต่อเพื่อไปแสดงโนรายังสถานที่ต่าง ๆ ผู้คนจึงมักได้เห็นเด็กหญิงคนนั้นซึ่งเป็นเด็กที่มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผิวขาว รูปร่างอ้วนสมบูรณ์แข็งแรง ยังนอนแบเบาะอยู่ บางคนเคยมาขอเด็กหญิงคนนั้นไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม แต่มารดาก็ได้ตอบปฏิเสธกับทุกคน
เนื่องจากตนเองรักและเป็นห่วงลูกมาก วันหนึ่งเมื่อโนรายก ชูบัว ไปที่ตลาดบ้านปากแตระ ได้มีคนเข้ามาบอกกับท่านว่ามารดาของเด็กหญิงคนนั้นจะยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่าน แต่โนรายก ชูบัว ก็ได้ตอบไปว่าตนเองต้องไปปรึกษากับภรรยาก่อน เนื่องจากท่านต้องนําคณะโนราไปแสดงยังสถานที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ และการไปแต่ละครั้งก็เป็นเวลานาน ครั้งหนึ่ง ๆ ประมาณ ๓-๔ เดือน จึงจะกลับมาบ้านครั้งหนึ่ง จึงทําให้ท่านกังวลไปว่าท่านอาจไม่มีเวลาพอที่จะเลี้ยงดูเด็กหญิงคนนั้นได้ดีและจะกลับเป็นภาระหน้าที่ของภรรยา ครั้นเมื่อท่านได้สอบถามภรรยาของท่านแล้วภรรยาของท่านก็ตกลงยินดี มารดาของเด็กหญิงคนนั้นจึงได้นําเด็กหญิงคนนั้นมามอบให้ท่านเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในเวลาต่อมาโนรายก ซูบัว ได้ตั้งชื่อให้เด็กหญิงคน นั้นว่า “โนรี ” ซึ่งท่านได้ให้เหตุผลที่ตั้งชื่อบุตรบุญธรรมว่าโนรี ไว้ว่า
เมื่อท่านรับเด็กหญิงคนนั้นมาเป็นบุตรบุญธรรมนั้นเด็กหญิงคนนี้ไม่มีชื่อมาก่อน แต่เมื่อท่านได้เห็นหน้าตาที่น่าเอ็นดู ผิวขาว รูปร่างอ้วนสมบูรณ์ จึงตั้งชื่อให้เด็กหญิงคนนั้นว่า “โนรี ” โดยมีความคิดว่าเนื่องจากท่านเป็นโนราที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป จึงควรจะตั้งชื่อบุตรบุญธรรมให้สอดคล้องโนรา จึงตั้งชื่อให้ว่า “ โนรี ” ซึ่งเป็นชื่อที่ท่านมุ่งหมายถึง “โนราผู้หญิง” นั่นเอง ครั้นเมื่อเด็กหญิงโนรีเริ่มเดินได้ ท่านก็เริ่มฝึกการรำมโนราห์ให้กับเด็กหญิงโนรี และได้ฝึกการรํามโนราห์เรื่อยมา จนกระทั่งเด็กหญิงโนรีรํามโนราห์ได้ เมื่อโนรายก ชูบัว เดินทางไปแสดงโนราที่ไหนก็มักจะพาเด็กหญิงโนรีไปด้วย โดยส่วนใหญ่จะให้เด็กหญิงโนรีได้ออกรํามโนราห์ในช่วงท้ายก่อนที่จะปิดการแสดง และทุกครั้งที่เด็กหญิงโนราออกรำ จะเป็นที่ชอบใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โนรีมีอายุ ๔๕ ปี แต่งงานกับนายคน ทิพย์สาลี แล้วใช้นามสกุลของสามีคือทิพย์สาลี นางโนรีเลิกรำมโนราห์แล้ว โดยได้ไปประกอบอาชีพธุรกิจอยู่กับสามีที่อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
โนรายก ชูบัว เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าเป็นผู้มีอุปนิสัยเยือกเย็น มีจิตใจหนักแน่น พูดจาสุภาพเรียบร้อยและมักจะสอดแทรกคติธรรมให้แก่ผู้ร่วมสนทนากับท่าน ท่านไม่เป็นคนเจ้าชู้ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานสูง เป็นคนตรงต่อเวลา และเมื่อท่านมีความรู้เรื่องใดแล้วท่านมักจะไม่แสดงตนในลักษณะอวดรู้ และก็ไม่ปิดบังความรู้ มีความคิด สร้างสรรค์ มีเทคนิคในการถ่ายทอดหรือการสื่อสารโดยทําเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายต่อการเข้าใจ นอกจากนั้นแล้วท่านยังเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือเพื่อนบ้าน และสังคมอย่างสม่ำเสมอไม่ถือตัว บุคลิกภาพที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของท่านคือท่านจะไม่เคยแสดงอาการโกรธหรือดุด่าว่ากล่าวให้ร้ายต่อผู้อื่น
มรณกรรม
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙ โนรายก ชูบัว ได้ล้มป่วยและได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลระโนด และโรงพยาบาลสงขลา เมื่อมีอาการดีขึ้นจึงได้เดินทางกลับบ้าน ต่อมาได้มีอาการแน่นหน้าอก หายใจติดขัด ทางบ้านจึงได้นําตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลระโนดอีกครั้ง แต่อาการยังไม่ดีขึ้น จึงได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ท่านเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์เป็นเวลา ๒ อาทิตย์ แพทย์เห็นว่าอาการป่วยได้ทุเลาลงจึงอนุญาตให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน แต่เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ เวลา ๒๑.๓๐ น. โนรายก ชูบัว ก็ได้ถึงแก่กรรม ณ บ้านเลขที่ ๓๔๓ หมู่ที่ ๔ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา สิริรวมอายุได้ ๘๓ ปี ๑๐ เดือน
ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ผลงานสำคัญ
โนรายก ชูบัว เป็นผู้ที่มีผลงานด้านการแสดงโนราที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ โนรายก ชูบัว ไปทําสวนอยู่ที่ตําบลควนกาหลง อําเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล และเป็นช่วงเดียวกันกับที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จไปที่เกาะอาดัง ตําบลเกาะสาหร่าย อําเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล นายอําเภอควนกาหลงได้ไปเชิญโนนรายก ชูบัว เพื่อให้รำถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี การรําโนราหน้าพระที่นั่งในครั้งนั้นโนรายก ชูบัว ได้รําโนราโดยใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที และสมเด็จพระบรมราชชนนี ได้พระราชทานเข็มที่ระลึกซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติในชีวิตที่ได้มีโอกาสรําโนราหน้าพระที่นั่งโนรายก ซูบัว ได้แสดงโนรามาเกือบตลอดชีวิต จนถือได้ว่าท่านเป็นโนราชั้นครูคนหนึ่ง ต่อมาเมื่อมีอายุมากขึ้นได้รับเชิญเป็นวิทยากรสอนศิษย์ตามสถานศึกษาต่าง ๆ แต่ท่านก็ยังคงรักการรําโนราอยู่เป็นชีวิตจิตใจแม้ว่าจะไม่รําโนราแสดงเป็นเรื่องเป็นราว แต่ท่านก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะรำโนราสาธิตให้คนทั่วไปได้เห็นถึงการรําโนราที่ถูกต้องตามแบบดั้งเดิมของชาวภาคใต้
ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
โนรายก ชูบัว เป็นผู้มีอัจฉริยะในการรํามโนราห์อย่างแท้จริง ท่านได้ใช้ชีวิตการเป็นศิลปินอยู่ในแวดวงของการแสดงมโนราห์มาเป็นเวลานานกว่า ๕๐ ปี ทําให้ท่านได้สั่งสมประสบการณ์ด้านการแสดงมโนราห์ไว้มากมาย มีลูกศิษย์และเพื่อนร่วมงานตลอดจนบุคคลทั่วไปที่ท่านรู้จักมากมาย อีกทั้งท่านยังได้สร้างผลงานด้านการแสดงโนราไว้มากมาย จนทําให้ท่านได้รับรางวัลต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก ซึ่งผลงานและรางวัลที่ท่านได้รับดังกล่าวถือเป็นเกียรติยศที่ทําให้โนรายก ชูบัว ได้รับการเชิดชูเกียรติจากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ซึ่งเป็นศิลปินด้านมโนราห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป จนทําให้ท่านมีความประทับใจในการแสดงมโนราห์ครั้งสําคัญ ๆ มากมายหลายครั้งรวมทั้งรางวัลต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
– พ.ศ. ๒๕๐๓ ว่าต้อนรับทูตวัฒนธรรม ๒๕ ประเทศ ที่กรุงเทพฯ |
– พ.ศ. ๒๕๑๓ โนรายก ชูบัว ไปทำสวนอยู่ที่ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล และเป็นช่วงเดียวกันกับที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จไปที่เกาะอาดัง ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล นายอำเภอควนกาหลงได้ไปเชิญโนรายก ชูบัว เพื่อให้รำถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี การรำโนราหน้าพระที่นั่งในครั้งนั้น โนรายก ชูบัว ได้รำโนราโดยใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที และสมเด็จพระบรมราชชนนีได้พระราชทานเข็มที่ระลึก ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติในชีวิตที่ได้มีโอกาสรำมโนราห์หน้าพระที่นั่ง |
– พ.ศ. ๒๕๑๘ รําถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เกาะอาดัง ตําบลเกาะสาหร่าย อําเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ซึ่งการรำในครั้งนั้นโนรายก ขบัว ได้รับพระราชทานเข็มที่ระลึกจากสมเด็จพระบรมราชชนนี |
– พ.ศ. ๒๕๑๘ เผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๕ โดยมีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ดําเนินรายการ ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษ โดยโนรายก ชูบัว ได้รับเชิญจากกรมศิลปากร ให้ไปรําโนรา ณ โรงละครแห่งชาติ พร้อมกับขุนอุปถัมภ์นรากร (โนราทุ่ม เทวา) ในการทําครั้งนั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ได้ประทานเทริดให้ ๑ ยอด ให้โนรายก ชูบัว |
– พ.ศ. ๒๕๒๐ รำเผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๑๐ หาดใหญ่ สงขลา (สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง ๑๑ สงขลา) |
– พ.ศ. ๒๕๒๒ รำในงานประชุมต้อนรับอธิการบดีมหาวิทยาลัยทั่วโลก ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเอเซียพัทยา จังหวัดชลบุรี |
– พ.ศ. ๒๕๒๓ เผยแพร่ ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (ผ่านฟ้า ๒) จํานวน ๒ ครั้ง |
– พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้รับเชิญจากสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พร้อมด้วยโนราอีก ๗ คณะ ไปรําในงาน “มหกรรมโนรา” ที่โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ |
– พ.ศ. ๒๕๓๑ รําถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์ วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ |
– พ.ศ. ๒๕๓๙ รำในงานกาญจนาภิเษก ณ ท้องสนามหลวง และที่ถนนราชดําเนินนอก |
ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
เกียรติคุณที่ได้รับ
จากการรํามโนราห์ครั้งสําคัญ ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โนรายก ชูบัว ยังมีรางวัลและเกียรติยศอีกมากมาย ดังนี้
– พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้รับผ้ามนโนราสีสวยสด จาก พ.ต.อ. ขุนพันธรักษ์ราชเดช |
– พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้รับขันเงินจากพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ ในการฉลองพระไตรปิฎกวัดหาดใหญ่ใน อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา |
– พ.ศ. ๒๕๐๓ รำต้อนรับทูตวัฒนธรรม ๒๕ ประเทศ ที่กรุงเทพ ฯ |
– พ.ศ. ๒๕๑๘ รําถวายสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่เกาะอาดัง ตําบลเกาะสาหร่าย อําเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ซึ่งการรําถวายในครั้งนี้ ในรายก ชูบัว ได้รับพระราชทานเข็มที่ระลึกจากสมเด็จพระบรมราชชนนี |
– พ.ศ. ๒๕๑๘ รำเผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๕ โดยมีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ดําเนินรายการ ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษโดยโนรายก ชูบัว ได้รับเชิญจากกรมศิลปากรให้ไปรําโนรา ณ โรงละครแห่งชาติ พร้อมกับขุนอุปถัมภ์นรากร (โนราพุ่ม เทวา) ในการรำครั้งนั้นพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ได้ประทานเทริดให้ ๑ ยอด |
– พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้รับเกียรติบัตรจากกรมศิลปากร ในฐานะที่เป็นผู้ให้ความร่วมมือสนับสนุนให้การปฏิบัติหน้าที่ราชการในด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นอย่างดียิ่ง ยังผลให้กรมศิลปากรสําเร็จสมความมุ่งหมายในการทํานุบํารุงด้านศิลปวัฒนธรรม |
– พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้รับโล่เกียรติยศจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะที่เป็นผู้อุทิศตนบําเพ็ญประโยชน์อย่างยิ่งต่อมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยการริเริ่มวางพื้นฐานและฝึกสอนโนราให้แก่ข้าราชการและนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา |
– พ.ศ. ๒๕๒๐ รำเผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๑๐ หาดใหญ่ สงขลา |
– พ.ศ. ๒๕๒๒ รำในงานประชุมต้อนรับอธิการบดีมหาวิทยาลัยทั่วโลก ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเอเชีย พัทยา จังหวัดชลบุรี |
– พ.ศ. ๒๕๒๓ รำเผยแพร่ ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (ผ่านฟ้า ๒) จํานวน ๒ ครั้ง |
– พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้รับเชิญจากสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรม พร้อมด้วยในราอีก ๗ คณะ ไปรำในงานมหกรรมโนรา ที่โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ |
– พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รับการยกย่องจากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติให้เป็นศิลปินพื้นบ้านดีเด่นสาขามโนราห์ |
– พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้รับโล่ศิลปินพื้นบ้านดีเด่นสาขามโนราห์ ที่คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) เป็นผู้ประกาศ โดยได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี |
– พ.ศ. ๒๕๓o ได้รับการยกย่องจากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติประวัติที่สําคัญยิ่งในชีวิตของท่าน |
– พ.ศ. ๒๕๓๑ รําถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ |
– พ.ศ. ๒๕๓๙ รำในงานกาญจนาภิเษก ณ ท้องสนามหลวงและที่ถนนราชดําเนิน กรุงเทพฯ |
โนรายก ชูบัว เป็นมโนราห?ที่มีความรู้ความสามารถในการร่าโนราเป็นอย่างดียิ่ง ผลงานด้านโนราของท่านเป็นที่ประจักษ์และยอมรับของคนทั่วไป ทั้งที่เป็นการแสดงโนรา การถ่ายทอด ศิลปะการแสดงโนราให้แก่ศิษย์ และการประพันธ์วรรณกรรมเพื่อการแสดงโนรา จนทําให้ท่านเป็นมโนราห์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของภาคใต้และท่านได้รับเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ จากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรม แห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติประวัติที่สําคัญยิ่งในชีวิตของท่าน ปัจจุบันในรายก บ้า อยู่ที่ ตําบลระโนด อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา ท่านยังคงรับแสดงโนราอยู่ แต่เนื่องจากท่านเป็น โนราชั้นครูจึงมักจะได้รับเชิญให้แสดงเป็นการสาธิตและแสดงแก้บนเป็นส่วนใหญ่
ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง บุคคลสำคัญ ที่อยู่ จังหวัด สงขลา
ที่มา : ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้-มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์