ประวัติ อำเภอควนขนุน

จากคำบอกเล่าของผู้รู้ในตำบล ตำบลควนขนุนเป็นตำบลเก่าแก่มาแต่ดั้งเดิม ไม่ปรากฏว่าย้ายมาจากที่ใดและไม่ปรากฏปีที่จัดตั้ง สำหรับชื่อที่เรียกตำบลควนขนุนเดิมบริเวณนี้มีต้นขนุนอยู่ 1 ต้น

วันหนึ่งมีพระภิกษุเดินผ่านมาได้กลิ่นหอมของขนุนสุก แต่เมื่อมองหาผลบนต้นกลับไม่พบทั้งที่ยังมีกลิ่นหอมอยู่เหมือนเดิม จึงลองช่วยกันขุดใต้ดินบริเวณต้นขนุน พบขนุนมีลักษณะผิวสีทองจึงได้ช่วยกันนำขึ้นมาและไปถวายเจ้าเมือง เจ้าเมืองประทับใจมากที่มีของแปลกประหลาดจึงได้ประทานรางวัลฆ้อง 2 ลูก เป็นฆ้องเงินและฆ้องทอง และประทานชื่อว่า “บ้านควนขนุน”

อำเภอควนขนุนเดิมเรียกว่า อำเภออุดร จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2439 หรือ ร.ศ. 115 มีพระพลสงคราม (โต ศิริธร) เป็นนายอำเภอคนแรก ต่อมาภายหลังเป็นพระยาศิริธรเทพสัมพันธ์ เจ้ากรมเสมียนตรา อำเภอตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 5 ตำบลควนขนุน และได้ย้ายที่ตั้งอีกจำนวน 4 ครั้ง

ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2445 ย้ายที่ว่าการอำเภอไปตั้งที่บ้านมะกอกใต้ เรียกว่า อำเภอปากประ 

ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2450 ย้ายไปที่บ้านพนางตุง ริมทะเลน้อย เรียก อำเภอทะเลน้อย 

ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2460 เรียก อำเภอพนางตุง 

และครั้งสุดท้าย เมื่อปี พ.ศ. 2466 ย้ายกลับมาตั้งที่เดิมคือที่บ้านควนขนุน เรียกว่า อำเภอควนขนุน มาจนถึงปัจจุบัน

วันที่ 15 มีนาคม 2445 เปลี่ยนแปลงชื่ออำเภออุดร แขวงเมืองพัทลุง เป็น อำเภอปากประ

วันที่ 18 สิงหาคม 2450 ย้ายที่ว่าการอำเภอปากประ จากบ้านมะกอกใต้ ตำบลมะกอกใต้ ไปตั้งที่บ้านพนางตุง ริมทะเลน้อย ให้เปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอปากประ แขวงเมืองพัทลุง เป็น อำเภอทะเลน้อย และโอนพื้นที่ตำบลมะกอกเหนือ ตำบลมะกอกใต้ ไปขึ้นกับอำเภอเมืองพัทลุง กับโอนพื้นที่ตำบลทะเลน้อย ตำบลตะเครียะ ตำบลหัวป่า ตำบลบ้านพร้าว และตำบลสำโรง จากอำเภอพังไกร (อำเภอหัวไทรในปัจจุบัน) จังหวัดนครศรีธรรมราช มาขึ้นกับอำเภอทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง

วันที่ 29 เมษายน 2460 เปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง เป็น อำเภอพนางตุง

วันที่ 20 พฤษภาคม 2460 โอนพื้นที่ตำบลตะเครียะ อำเภอทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ไปขึ้นกับกิ่งอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา

วันที่ 16 กันยายน 2466 ย้ายที่ว่าการอำเภอพนางตุง จากเขาพนางตุง ไปตั้งที่ตำบลควนขนุน เรียกว่า อำเภอควนขนุน

วันที่ 20 กันยายน 2468 โอนพื้นที่บางหมู่บ้านของตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน ไปขึ้นกับตำบลมะกอกใต้ อำเภอคูหาสวรรค์ (อำเภอเมืองพัทลุง) โอนพื้นที่ 1 หมู่บ้านของตำบลป่าพะยอม ไปขึ้นกับตำบลปันแต และโอนพื้นที่ 1 หมู่บ้านของตำบลชะมวง ไปขึ้นกับตำบลเขาย่า

วันที่ 10 สิงหาคม 2473 โอนพื้นที่บางส่วนของหมู่ 7 บ้านท่านาว ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน ไปขึ้นกับตำบลมะกอกใต้ อำเภอคูหาสวรรค์ (อำเภอเมืองพัทลุงในปัจจุบัน)

วันที่ 1 เมษายน 2480 เปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดพัทลุง และจังหวัดตรัง โดยโอนพื้นที่ตำบลพื้นที่หมู่ 6,7 (ในขณะนั้น) ของตำบลเกาะเต่า อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ไปขึ้นกับตำบลท่างิ้ว อำเภอเขาขาว (อำเภอห้วยยอด) จังหวัดตรัง

29 กรกฎาคม 2490 ตั้งตำบลดอนทราย แยกออกจากตำบลชะมวง ตั้งตำบลเขาย่า แยกออกจากตำบลชะมวง และตำบลเขาปู่ ตั้งตำบลเกาะเต่า แยกออกจากตำบลป่าพะยอม ตั้งตำบลตะแพน แยกออกจากตำบลนาขยาด ตั้งตำบลโตนดด้วน แยกออกจากตำบลมะกอกเหนือ และตำบลควนขนุน

วันที่ 14 เมษายน 2496 เปลี่ยนแปลงชื่อตำบลปรางหมู่ อำเภอควนขนุน เป็น ตำบลพนมวังก์

วันที่ 20 กันยายน 2499 จัดตั้งสุขาภิบาลควนขนุน ในท้องที่บางส่วนของตำบลควนขนุน

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2501 ตั้งตำบลทะเลน้อย แยกออกจากตำบลพนางตุง

วันที่ 22 มิถุนายน 2505 จัดตั้งสุขาภิบาลมะกอกเหนือ ในท้องที่บางส่วนของตำบลมะกอกเหนือ

วันที่ 11 กันยายน 2516 ตั้งตำบลแหลมโตนด แยกออกจากตำบลปันแต

วันที่ 6 ธันวาคม 2520 แยกพื้นที่ตำบลเขาย่า ตำบลเขาปู่ และตำบลตะแพน ของอำเภอควนขนุน ไปจัดตั้งเป็น กิ่งอำเภอศรีบรรพต  และให้ขึ้นการปกครองกับอำเภอควนขนุน

วันที่ 21 เมษายน 2524 ตั้งตำบลบ้านพร้าว แยกออกจากตำบลป่าพะยอม

วันที่ 27 เมษายน 2525 ตั้งตำบลลานข่อย แยกออกจากตำบลเกาะเต่า

วันที่ 16 สิงหาคม 2526 ตั้งตำบลแพรกหา แยกออกจากตำบลพนมวังก์

วันที่ 27 ธันวาคม 2531 โอนพื้นที่หมู่ 6 บ้านธรรมเสถียร,บ้านใสตอ (ในขณะนั้น) ของตำบลทะเลน้อย ไปตั้งเป็นหมู่ 10 ของตำบลพนางตุง

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 แยกพื้นที่ตำบลป่าพะยอม ตำบลลานข่อย ตำบลเกาะเต่า และตำบลบ้านพร้าว ของอำเภอควนขนุน ไปจัดตั้งเป็น กิ่งอำเภอป่าพะยอมและให้ขึ้นการปกครองกับอำเภอควนขนุน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2536 ยกฐานะจากกิ่งอำเภอศรีบรรพต อำเภอควนขนุน เป็น อำเภอศรีบรรพต

วันที่ 8 สิงหาคม 2538 ยกฐานะกิ่งอำเภอป่าพะยอม อำเภอควนขนุน เป็น อำเภอป่าพะยอม

วันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยกฐานะจากสุขาภิบาลควนขนุน และสุขาภิบาลมะกอกเหนือ เป็นเทศบาลตำบลควนขนุน และเทศบาลตำบลมะกอกเหนือ ตามลำดับ ด้วยผลของกฎหมาย

วันที่ 15 พฤษภาคม 2551 เปลี่ยนแปลงชื่อองค์การบริหารส่วนตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านสวน และจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านสวน ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลบ้านสวน

วันที่ 23 กรกฎาคม 2551 เปลี่ยนแปลงชื่อองค์การบริหารส่วนตำบลควนขนุน อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นองค์การบริหารส่วนตำบลหนองพ้อ และจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลหนองพ้อ ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลหนองพ้อ

วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลนาขยาด ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลนาขยาดและจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลพนางตุง ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลพนางตุง

วันที่ 31 กรกฎาคม 2552 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลโตนดด้วน ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลโตนดด้วน

วันที่ 20 สิงหาคม 2552 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลทะเลน้อย ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลทะเลน้อยและจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลดอนทราย ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลดอนทราย

วันที่ 26 ตุลาคม 2552 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลแพรกหา ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลแพรกหาและจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมโตนด ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลแหลมโตนด

เครดิต https://th.wikipedia.org/wiki/อำเภอควนขนุน

โนรายก ชูบัว-ศิลปินแห่งชาติ

ยก ชูบัวหรือโนรายก ชูบัว เป็นมโนราห์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในภาคใต้ ท่านมีความสนใจในการรํามโนราห์มาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก และได้รํามโนราห์เรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมเวลาที่ท่านรำมโนราห์นานกว่า ๕๐ ปี

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้มีจิตใจรักทางการรํามโนราห์อย่างแท้จริง ตลอดถึงเป็นมโนราห์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมสูงมากคนหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ท่านรำมโนราห์ ท่านได้สร้างชื่อเสียงไว้มากมาย อาทิ การรำมโนราห์ที่มหาวิทยาลัยปีนัง ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย การต้อนรับทูตวัฒนธรรม ๒๕ ประเทศ ที่กรุงเทพฯ การรําถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เกาะอาดัง ตําบลเกาะสาหร่าย อําเภอเมืองสตูล การรําถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศ เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่าในรายก ชูบัว เป็นผู้มีวิญญาณศิลปินในการรำมโนราห์อย่างแท้จริง และเป็นผู้ที่มีอัจฉริยะในการรํามโนราห์มากคนหนึ่งในภาคใต้ นอกจากการรํามโนราห์ที่สําคัญ ๆ ดังกล่าวแล้ว ท่านยังเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแต่งบทกลอนโนราได้ดีอีก ซึ่งบทกลอนโนราที่ท่านใช้ขับร้องในการรํามโนราห์ส่วนมากจะเป็นบทกลอนที่ท่านแต่งขึ้นเอง ตลอดถึงท่านยังแต่งบทกลอนโนราให้ผู้อื่นขับร้องอีกด้วย ซึ่งบทกลอนโนราเหล่านี้ได้สะท้อนเป็นแนวคิดของในรายก ชูบัว ได้เป็นอย่างดี และขณะเดียวกันก็สะท้อนภาพทางสังคม


          โนรายก ชูบัว เกิดเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ตรงกับวันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ ที่บ้านทะเลน้อยตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง บิดาชื่อเลิศ เป็นชาวบ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง มีอาชีพทํานา มารดาชื่อเลี่ยม เป็นชาวบ้านนาพรุ ตําบลเขาชัยสน อําเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง มีอาชีพทํานา หลังจากบิดาและมารดาได้แต่งงานกัน บิดามารดาของโนรายก ชูบัว ได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นบ้านของทางฝ่ายบิดา โดยอาศัยอยู่ร่วมกับปู่และย่า และบิดามารดาก็ยังคงประกอบอาชีพทำนา ในการที่โนรายก ชูบัว มีตาเป็นโนราที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในสมัยนั้นชื่อ “โนราอ้น” หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันทั่วไปในนามของ “โนราถั่วเขียว” ซึ่งโนราถั่วเขียวคนนี้เป็นครูของโนราชื่อดังคนหนึ่งในอดีตคือท่านขุนอุปถัมภ์นรากร หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันดีในนามของ “โนราทุ่มเทวา”  ซึ่งเรื่องนี้ท่านได้เล่าถึงโนราถั่วเขียวกับท่านขุนอุปถัมภ์นรากรไว้สรุปได้ว่าท่านขุนอุปถัมภ์นรากรเคยหัดรําโนรากับโนราถั่วเขียวมาก่อน ตั้งแต่ท่านขุนอุปถัมภ์นรากรยังเป็นเด็กเมื่อมีอายุได้ ประมาณ ๔ ปี ท่านมักจะได้ยินท่านขุนอุปถัมภ์นรากรเรียกโนราถั่วเขียวว่า “บ่าวอ้น” ซึ่งคําว่า “บ่าว” (พี่) นั้นชาวภาคใต้มักจะใช้เรียกกันระหว่างผู้ที่รู้จักคุ้นเคยสนิทสนมกันเป็นอย่างดีรวมถึงผู้ที่มีความเคารพนับถือกันหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า


            โนรายก ชูบัว เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา เมื่ออายุได้ ๓ ปี บิดามารดาได้แยกทางกัน บิดาไปแต่งงานกับภรรยาคนใหม่ชื่อนาถ และทั้งคู่ได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่บ้านท่าช้าง ตําบลเขาชัยสน อําเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นบ้านของทางฝ่ายภรรยา และมีบุตรด้วยกันคนเดียวเป็นชายชื่อว่าไข่ดํา ต่อมาบิดาได้แต่งงานกับภรรยาคนใหม่อีกคนหนึ่งชื่อดํา ซึ่งทั้งคู่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านท่าช้าง ตําบลเขาชัยสน อําเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง และมีบุตรด้วยกัน ๓ คน ซึ่งมีชื่อเรียงตามลําดับจากคนแรกดังนี้ เปี๊ยก (หญิง) มาลี (หญิง) และมานะ (ชาย) โนรายก ชูบัว ได้กล่าวถึงการที่ท่านได้ชื่อว่า “ยก” นั้นก็เนื่องจากเมื่อตอนที่ท่านเกิดนั้นท่านเป็นเด็กที่มีสุขภาพไม่ค่อยจะดี บิดามารดาและญาติพี่น้องต่างก็คิดว่าท่านคงจะไม่รอดชีวิตอย่างแน่นอน ทุกคนต่างก็มีความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงได้นําท่านห่อด้วยผ้าขาวเพื่อจัดเตรียมจะนําไปฝังแล้ว เมื่อข่าวนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงตาอ้นหรือที่ชาวบ้านรู้จักกันทั่วไปในนามของ “ โนราถั่วเขียว ” ซึ่งเป็นโนราที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในจังหวัด พัทลุงสมัยนั้น โนราถั่วเขียวจึงได้บนบานกับครูหมอตายายโนรา (เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษซึ่งเป็นที่นับถือของโนรา) เพื่อขอให้หลานชายรอดชีวิต โดยได้บนบานไว้ว่า “ถ้ารอดชีวิตแล้วจะให้ออกพรานสักคน ” (คือจะให้แสดงโนราสืบทอดต่อไป) เพราะตนเองก็แก่มากแล้ว คงจะรําโนราไปได้อีกไม่นาน ดังนั้นเมื่อในรายก ชูบัว รอดชีวิต ในราถั่วเขียวจึงเชื่อว่าเป็นเพราะอํานาจของครูหมอตายายโนราได้ช่วยชีวิตไว้ ด้วยเหตุนี้เองโนราถั่วเขียวจึงให้ชื่อหลานชายว่า “ยก” ซึ่งหมายถึงการยกให้เป็นลูกของครูหมอตายายโนรา


        ชีวิตในวัยเด็กของโนรายก ชูบัว หลังจากที่บิดากับมารดาได้แยกทางกันแล้ว และบิดามีภรรยาใหม่และได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของทางฝ่ายภรรยาใหม่ที่บ้านท่าช้าง ตําบลเขาชัยสน ภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง โนรายก ชูบัว กับแม่จึงได้อาศัยอยู่กับปู่และย่าที่บ้านทะเลน้อย บ้านพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (ซึ่งเป็นบ้านที่บิดามารดาเคยอาศัยอยู่เดิม) และช่วยกันสอนหนังสือให้ในรายก ชูบัว อ่านออกเขียนได้ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน


           เมื่ออ่านออกเขียนได้แล้วในรายก ชูบัว จะต้องอ่านหนังสือวรรณคดีให้ปู่ฟังแทบทุกวัน ทำให้ในรายก ชูบัว อ่านหนังสือได้ดีขึ้นตามลําดับ จนกระทั่งมีอายุได้ ๘ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ปู่จึงได้พาโนรายก ชูบัว ไปเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดควนพนางตุง ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ทางโรงเรียนเห็นว่าโนรายก ชูบัว สามารถ อ่านเขียนได้เป็นอย่างดีมาก่อนแล้ว จึงให้เริ่มเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โนรายก ชูบัว เรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน โดยท่านได้เล่าถึงความสนใจในระหว่างที่ท่านกําลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนนี้ซึ่งสรุปได้ว่า ในระหว่างที่ท่านกําลังเรียนหนังสืออยู่ในชั้นประถมศึกษานั้นท่านมีความสนใจในการเล่นลิเกป่ามาก (เนื่องจากบิดาเคยเล่นลิเกป่ามาก่อน) อีกทั้งชอบว่าบทกลอนและอ่านหนังสือวรรณคดีต่าง ๆ ก็เพราะท่านเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนและมีความสามารถในการเล่นลิเกป่านี้เอง ดังนั้นเมื่อทางโรงเรียนจัดให้มีงานต่าง ๆ ท่านมักจะได้รับการคัดเลือกให้แสดงลิเก และท่านมักจะแสดงเป็นตัวนางเงือกในเรื่องที่ลิเกใช้แสดง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าโนรายก ชูบัว เป็นผู้ที่มีใจรักทางการรําและการแสดงมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก

การทํางาน

           หลังจากที่โนรายก ชูบัว จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนวัดควนพนางตุง ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง แล้วในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ต่อมาครูทิม พุฒ ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดทะเลน้อย ตําบลทะเลน้อย อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ได้มาติดต่อขอให้โนรายก ชูบัว ไปเป็นครูที่โรงเรียนวัดทะเลน้อย เนื่องจากขณะนั้นทาง โรงเรียนขาดอัตรากําลังครู โดยได้ตกลงว่าจะให้เงินเดือนท่านเดือนละ 4 บาท และได้ตกลงไว้อีกว่าหลังจากทํางานแล้ว ๓ เดือน ก็จะเพิ่มเงินเดือนให้อีกเดือนละ ๒ บาท รวมเป็น เงินเดือน ๆ ละ ๑๐ บาท แต่ท่านตอบปฏิเสธเนื่องจากขณะนั้นท่านได้ตัดสินใจที่จะไปรำมโนราห์อยู่กับคณะโนราเลื่อน พงศ์ชนะ ซึ่งญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายภรรยาซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันกับบ้านของท่านเองคือที่บ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง

เมื่อโนรายก ชูบัว รำมโนราห์เสร็จแล้วท่านจะกลับไปพักอยู่ที่บ้านของท่าน เอง โดยท่านจะมีรายได้จากการรําโนราคืนละ ๑ บาท (เฉพาะคืนที่ว่าโนรา) ซึ่งเมื่อรวมรายได้ แล้วท่านจะมีรายได้ จากการร่าโนราเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า ๒๐ บาท อีกทั้งท่านเห็นว่าการรำมโนราห์อยู่กับคณะโนรา เลื่อน พงศ์ชนะ นั้นเท่ากับเป็นการฝึกความชํานาญและเพิ่มประสบการณ์ในการรำมโนราห์ให้กับตนเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะทําให้ท่านได้แสดงออกในสิ่งที่ท่านชอบ และเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ท่านมีชื่อเสียงในการรำมโนราห์มากยิ่งขึ้น ทำให้ท่านรำมโนราห์อยู่ในคณะโนราเลื่อน พงศ์ชนะ มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งท่านมีอายุได้ ๑๖ ปี (ปี พ.ศ. ๒๔๘๑)

เมื่อเห็นว่าตนเองมีความสามารถในการราโนราสูงพอ และสามารถเล่นเป็นตัวตลกอีกทั้งสามารถขับบทกลอนโนราได้เป็นอย่างดีแล้ว ท่านจึงได้ขอแยกตัวจากคณะโนราเลื่อน พงศ์ชนะ มาตั้งคณะโนราห์ของตนเองขึ้น โดยใช้ชื่อคณะมโนราห์โนราของตนว่า “โนรายก ทะเลน้อย” ซึ่งเป็นการนําเอาชื่อของตนเองและชื่อบ้านเกิดของท่านมารวมกันตั้งเป็นชื่อของคณะในรา หลังจากตั้งคณะมโนราห์ของตนเองแล้ว โนรายก ชูบัว ก็ได้รับงานแสดงโนราทั่วเกือบทุกจังหวัดในภาคใต้และในบางจังหวัดทางภาคกลาง โดยเฉพาะในช่วงนั้นท่านจะรับงานแสดงมโนราห์มากเป็นพิเศษในเขตจังหวัดภูเก็ต พังงา และพัทลุง ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่ท่านเคยไปแสดงโนราเป็นประจํา เมื่อครั้งอยู่กับคณะของโนราเลื่อน พงศ์ชนะ ท่านจึงมีความคุ้นชินกับเขตพื้นที่ดังกล่าว

อีกทั้งยังมีความสนิทสนมกับผู้ชมหลายคน โดยเฉพาะมีความสนิทสนมกับแม่ยกเป็นอย่างดี โดยท่านมักจะแสดงมโนราห์สลับเขตพื้นที่ คนละช่วงฤดูกันระหว่างในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและพังงาเขตหนึ่ง กับในเขตพื้นที่จังหวัดพัทลุง อีกเชิดหนึ่ง เนื่องจากเมื่อทางเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาย่างเข้าฤดูฝน ทางเขตจังหวัดพัทลุงจะย่างเข้าฤดูร้อน และเมื่อทางเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาย่างเข้าฤดูร้อน ทางเขตจังหวัดพัทลุงจะย่างเข้าฤดูฝน รวมเวลาที่ท่านแสดงมโนราห์อยู่ในเขตจังหวัดภูเก็ต พังงา และพัทลุง เป็นเวลานานถึง ๔ ปี หลังจากนั้นท่านจึงเข้าได้พิธีครอบเทริด (หรือพิธีผูกผ้าใหญ่) โดยมีโนราวัน (เผ่า) โนราที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในสมัยนั้น ซึ่งอยู่ที่บ้านหลวงครู ตําบลอินคีรี อําเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช

เป็นผู้ทําพิธีครอบเทริดให้ ซึ่งพิธีครอบเทริดนี้ถือว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์และมีความสําคัญมากต่อผู้ที่มีอาชีพเป็นโนรา ซึ่งโนรายก ชูบัว ได้เล่าถึง การเข้าพิธีครอบเทริดของตนเองไว้สรุปได้ว่า เมื่อท่านได้รับงานแสดงมโนราห์ในเขตจังหวัดภูเก็ต พังงา และพัทลุง สลับกันคนละช่วงฤดูอยู่เป็นประจําซึ่งรวมเวลาได้ ๕ ปี ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เมื่อครั้งที่ท่านยกคณะโนรากลับจากแสดงในเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาจะไปแสดงที่จังหวัดพัทลุงนั้น ท่านได้มีโอกาสพบกับโนราวัน (เฒ่า) ซึ่งอยู่ที่บ้านหลวงครู ตําบลอินคีรี อําเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช โนราวัน (เฒ่า) มีความสนิทสนมเป็นอย่างดีกับโนราเลื่อน พงศ์ชนะ

เนื่องจากเคยได้ประชันโนราด้วยกันหลายครั้ง เมื่อโนราวัน (เฒ่า) ยก คณะโนรามาแสดงที่บ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็น เขตบ้านที่บ้านของโนรายก ชูบัว ตั้งอยู่ และท่านก็อยู่ที่บ้านนี้ทุกครั้ง เมื่อท่านยกคณะโนรากลับจังหวัดพัทลุง และเป็นเหตุบังเอิญที่คณะของโนราวัน (เฒ่า) ขาดคนรํามโนราห์ในขณะนั้น โนราวัน (เฒ่า) จึงได้สอบถามกับโนราเลื่อน พงศ์ชนะ ว่ามีใครที่มีความสามารถรําโนราได้ดีบ้าง เพื่อจะชักชวนให้ไปรํามโนราห์อยู่ในคณะโนราของตนเอง โนราเลื่อน จึงได้บอกกับโนราวัน (เผ่า) ว่ามีโนรายก ชูบัว แห่งบ้านทะเลน้อย ตําบลพนางตุง อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง

ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถในการรํามโนราห์ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่น สนใจศึกษาหาความรู้ด้านมโนราห์เป็นอย่างยิ่ง ครั้นเมื่อโนราเลื่อนได้บอกกล่าวกับท่านถึงเรื่องที่ในราวัน (เฒ่า) ต้องการผู้ที่สามารถรํามโนราห์ได้ดี เพื่อให้ไปอยู่กับคณะของโนราวัน (เต่า) ท่านจึงได้ตอบตกลงที่จะไปฝึกหัดรําโนราอยู่กับโนราวัน (เฒ่า) และได้ฝึกรําโนรากับในราวัน (เฒ่า) อยู่เป็นเวลานาน โดยได้เน้นการฝึกรำทําบทอยู่เป็นเวลานานถึง ๓ เดือน จึงทําให้ท่านมีความชํานาญในการทําบทมโนราห์มากขึ้น จนสามารถทําเลียนแบบครูคือ ในราวัน (เฒ่า) ได้ดี เมื่อท่านเห็นว่าตนเองมีความสามารถรํามโนราห์ได้เป็นอย่างดี แล้วจึงได้คิดแปลงท่ารํามโนราห์ขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นท่ารํามโนราห์ที่เป็นแบบเฉพาะของตนเอง หลังจากนั้นในราวัน (เฒ่า) จึงได้ทําพิธีครอบเทริดให้กับโนรายก ชูบัว ซึ่งพิธีนี้ถือว่าเป็นพิธีที่มีความสําคัญและศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสําหรับผู้ที่จะเป็นนายโรงโนราหรือหัวหน้าคณะมโนราห์ต่อไป ซึ่งเรื่องนี้สาโรช นาคะวิโรจน์ อุดม หนูทอง โนราสวัสดิ์ ช่วยพูลชู อาจารย์ สอนนาฏศิลปะพื้นเมือง (โนรา) ที่วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช (เป็นหลานชายของขุนอุปถัมภ์นรากร) ได้กล่าวถึงพิธีครอบเทริดไว้สอดคล้องกันซึ่งสรุปได้ว่าพิธีครอบเทริดเป็นพิธีที่ครูโนราได้กระทําขึ้นเพื่อรับรองความรู้ความสามารถและความเป็นที่ สมบูรณ์ของศิษย์ โดยการครอบเทริดให้

ซึ่งถือเสมือนว่าศิษย์ผู้นั้นได้รับประกาศนียบัตรที่ ประกาศความเป็นมโนราห์โดยสมบูรณ์ตามแบบที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ มโนราห์ที่ผ่านพิธีครอบเทริดแล้ว สามารถที่จะประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของโนราได้อย่างสมบูรณ์ มโนราห์แต่ละคนจะเข้าพิธีครอบเทริดได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งจะแตกต่างกับโขนหรือละครที่มักจะจัดให้มีพิธีเช่นนี้ทุกปี โนราที่มีความรู้ความสามารถในการรํามโนราห์ได้ดีเพียงใดก็ตาม หากไม่ได้ผ่านพิธีครอบเทริดถือว่าเป็นโนราที่ไม่สมบูรณ์ เรียกกันว่าเป็น “โนราดิบ“ ไม่สามารถที่จะประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมโนราห์ได้ และถ้าหากไม่ได้เข้าพิธีครอบเทริดโดยที่มโนราห์คนนั้นแต่งงานเสียก่อน ก็จะเรียกกันว่าเป็น “โนราปราชิก“ พิธีครอบเทริดจึงถือได้ว่าเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์และ สําคัญยิ่งในชีวิตของผู้ที่เป็นโนรา เมื่อครั้งที่โนรายก ชูบัว ตั้งคณะโนราของตนเองใหม่ ๆ นั้น มีนายแบน ชูบัว ซึ่งเป็นลุงของท่านและเป็นผู้ที่มีจิตใจรักทางด้านการแสดงพื้นบ้าน เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้วยดี และรับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมคณะโนรายก ทะเลน้อย ไม่ว่าคณะโนรายก ทะเลน้อย

จะไปแสดงที่ไหนนายแบนจะต้องเป็นธุระจัดการในเรื่องต่าง ๆ ให้ เช่น เกี่ยวกับเครื่องดนตรี เครื่องแต่งตัว การแต่งตัว เป็นต้น และที่สําคัญอีกอย่างหนึ่งคือนายแบนเป็นผู้ที่มีความสามารถตีทับ ซึ่งเป็นดนตรีประกอบการแสดงโนราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นนายแบน จึงทําหน้าที่เป็นคนตีทับของคณะโนรายก ทะเลน้อย ด้วย


        เมื่อโนรายก ชูบัว มีอายุได้ ๒๑ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ท่านได้รับการคัดเลือกด้วยวิธีการจับฉลากเข้ารับราชการเป็นพลตํารวจ ณ สถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองพัทลุง ตําบลคูหาสวรรค์ อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง โดยได้รับเงินเดือน ๆ ละ ๑๑ บาท ๒ สลึง ในระหว่างที่รับราชการตํารวจอยู่นั้น โนรายก ชูบัว ก็ยังคงแสดงโนราควบคู่ไปด้วย ซึ่งโนรายก ซูบัว ได้เล่าถึงการแสดงโนราในระหว่างที่ท่านรับราชการตํารวจอยู่สรุปได้ว่า ครั้งหนึ่งทางจังหวัดพัทลุงได้จัดให้มีการประชันโนราที่วัดโคกชะงาย ตําบลโคกชะงาย อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ในครั้งนั้นมีโนราคณะต่าง ๆ มากมาย มาร่วมประชันกัน คณะโนรายก ทะเลน้อย ได้เข้าร่วมประชันในครั้งนั้นด้วย และเป็นเหตุบังเอิญที่จ่ากอง (หัวหน้าตํารวจซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโนรายก ชูบัว โดยตรง)

ได้เห็นรายชื่อของคณะโนราที่เข้าประชันในครั้งนั้นว่า มีชื่อของคณะโนรายก ทะเลน้อย รวมอยู่ด้วย จ่ากองจึงไม่อนุญาตให้ในรายก ชูบัว เข้า ร่วมประชันโนราในครั้งนั้น เนื่องจากจ่ากองได้ให้โนรายก ชูบัว และพลตํารวจที่เป็นเพื่อนกับท่านอีกประมาณ ๓-๔ คน ไปมุงหลังคาอาคารที่อยู่ในบริเวณสถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองพัทลุง ตําบลคูหาสวรรค์ อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง โนรายก ชูบัว ได้แจ้งกับจากองว่าท่านไม่มีความสามารถมุงหลังคาอาคารได้ จ่ากองจึงได้ลงโทษโนรายก ชูบัว โดยการแต่งตั้งให้ท่านมีหน้าที่เฝ้าเวรยามที่สถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองพัทลุง ตําบลคูหาสวรรค์ อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ในคืนที่มีการประชันมโนราห์กันนั้น โนรายก ชูบัว จึงได้ให้โนราลั่น เพชรสุข หรือที่ชาวจังหวัดพัทลุงรู้จักกันดีในนามของ “โนราลั่น ทะเลน้อย ” เข้าประชันโนรา ในนามของคณะโนรายก ทะเลน้อย แทนตน เมื่อถึงคืนที่มีการประชันโนรานั้น โนรายก ชูบัว ได้ฝากให้เพื่อนอยู่เวรยามแทน ส่วนตัวท่านเองต้องรีบไปงานประชันมโนราห์ให้ทันเนื่องจากได้ บอกรับงานการแสดงมโนราห์ไว้แล้ว แต่เมื่อท่านไปถึงสถานที่ที่ประชันโนรานั้นก็เป็นช่วงสุดท้ายของการประชันมโนราห์แล้ว ท่านจึงไปไม่ทันในช่วงรํามโนราห์ แต่ท่านก็ได้ออกตัวพรานทันเวลาพอดี ซึ่งการออกพรานของท่านในครั้งนั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก ผลการประชันโนรา ในคืนนั้นปรากฏว่าคณะมโนราห์ของโนรายก ชูบัว ได้รับชัยชนะจากผู้ชมอย่างท่วมท้น


          เมื่อโนรายก ชูบัว มีอายุได้ ๒๔ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้ลาออกจากการรับราชการตํารวจ แล้วกลับมาอยู่ร่วมกับภรรยาที่บ้านโคกคราม ตําบลบ้านใหม่ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยท่านยึดอาชีพการแสดงโนราเป็นหลัก รวมถึงแสดงลิเกป่าและแสดงลิเกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ท่านได้เล่าถึงการแสดงลิเกของตนเองไว้สรุปได้ว่าการที่ท่านมีความสามารถในการแสดงลิเกนั้น เนื่องจากท่านได้เคยแสดงลิเกอยู่กับคณะลิเกแก้วราหู ซึ่งเป็นคณะลิเกที่มีชื่อเสียงมากคณะหนึ่งในเขตอําเภอระโนด จังหวัดสงขลา ในสมัยนั้น เมื่อท่านสามารถแสดงลิเกได้แล้ว ในบางครั้งท่านจะมีการเปลี่ยนการแสดงกับคณะลิเกแก้วราหู คือให้คณะลิเกแก้วราหูแสดงมโนราห์ ส่วนตัวท่านเองได้ไปแสดงลิเกแทน จึงทําให้ท่านมีประสบการณ์ ในการร่ายรํามากยิ่งขึ้น แต่ท่านจะเน้นไปในการแสดงมโนราห์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งท่านได้เล่าเกี่ยวกับการแสดงโนราไว้ว่าครั้งหนึ่งใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ คณะกรรมการวัดจะทิ้งพระ ตําบลจะทิ้งพระ อําเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ได้จัดงานประจําปีขึ้น ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นทุก ๆ ปี โดยมี โนราคณะต่าง ๆ เข้าร่วมประชันกันปีละ ๓-๔ คณะ ในปีนั้นทางคณะกรรมการวัดได้ติดต่อขอให้คณะของโนรายก ทะเลน้อย ไปประชันมโนราห์กับโนราเทพ (สองกุก) ซึ่งเป็นคณะโนราที่มี ชื่อเสียงมากของจังหวัดนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น ปรากฏว่าในการประชันโนรากันในปีนั้น คณะโนรายก ทะเลน้อย เป็นฝ่ายชนะ ทางคณะกรรมการวัดได้มีสัญญาไว้ว่าถ้ามโนราห์คณะใดชนะ ก็จะรับให้เข้าร่วมประชันมโนราห์อีกในปีต่อไป ดังนั้นในปีต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๐ โนรายก ชูบัว จึงได้นําคณะมโนราห์เข้าร่วมประชันมโนราห์อีก ผลปรากฏว่าคณะของโนรายก ชูบัว ได้รับชัยชนะอีก และสามารถชนะในการประชันมโนราห์ในงานนี้ติดต่อกันมาถึง ๑๒ ปี ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าโนรายก ชูบัว เป็นผู้ที่มีความสามารถในการรํามโนราห์เป็นอย่างดี จนมีชื่อเสียงและได้รับความ นิยมจากผู้ชมทั่วไปมาก

อุปสมบท

         เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งขณะนั้นโนรายก ชูบัว มีอายุได้ ๒๐ ปี ได้เข้าอุปสมบทตามประเพณีของผู้ชายไทยทั่วไป ณ วัดควนปันนแต ตําบลควนปันนแต อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง โดยมีพ่อท่านแก้ว วัดควนปันนแต เป็นพระอุปัชฌาย์ พ่อท่านคล้าย วัดสนทรา ตําบลทะเลน้อย อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และพ่อท่านนวล วัดประดู่หอม (บน) ตําบลทะเลน้อย อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบท แล้วได้รับฉายาว่า “ธมฺมทินโน” โดยไปจําพรรษาอยู่ที่วัดทะเลน้อย ตําบลทะเลน้อย อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นเวลา ๑ พรรษา

โนรายก ชูบัว อุปสมบทอยู่เป็นเวลา ๑ พรรษา จึงลาสิกขาออกมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลังจากลาสิกขาแล้วท่านได้เดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต ท่านได้เล่าถึงสาเหตุที่ท่านได้กลับไปภูเก็ตเนื่องจากท่านมีความคุ้นเคยกับเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างดียิ่ง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ท่านแสดงมโนราห์กับคณะของโนราเลื่อน พงศ์ชนะ อีกทั้งท่านยังมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับบรรดาแม่ยกมโนราห์อีก ด้วย และหลังจากที่ท่านได้กลับจากจังหวัดภูเก็ตแล้วท่านก็ได้เข้ารับราชการตํารวจที่สถานีตํารวจภูธรอําเภอเมืองพัทลุง ตําบลคูหาสวรรค์ อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัด พัทลุง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


         เมื่ออายุได้ ๒๓ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งขณะรับราชการตํารวจอยู่นั้นท่านได้แต่งงานกับนางสาวกล่ำ พงศ์ชนะ (หลานสาวของโนราเลื่อน พงศ์ชนะ) ชาวบ้านโคกคราม ตําบลบ้านใหม่ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา หลังจากแต่งงานแล้วท่านได้ย้ายกลับมาอยู่ร่วมกับภรรยาที่บ้านโคกคราม ตําบลบ้านใหม่ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา และอยู่ที่นี่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ท่านกับภรรยาก็ไม่มีบุตรด้วยกัน

จึงได้ขอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมและตั้งชื่อให้ว่าโนรี ซึ่งเรื่องนี้โนรายก ชูบัว ได้เล่าไว้ว่าหลังจากแต่งงานแล้วท่านกับภรรยาไม่มีบุตรด้วยกัน จนกระทั่งท่านมีอายุได้ ๒๕ ปี ซึ่งขณะนั้นยังคงนําคณะมโนราห์ไปแสดงยังที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ ครั้นเมื่อกลับมาบ้านที่ตําบลบ้านใหม่ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา

วันหนึ่งท่านไปซื้อปลาที่ตลาดบ้านปากแตระ ตําบลปากแตระ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา ได้พบกับมารดาของเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งผู้เป็นมารดามีรูปร่างผอมมากจนดูเหมือนจะไม่สามารถให้นมกับลูกของตนได้ และเป็นผู้มีฐานะยากจน บ้านที่มารดาของเด็กหญิงคนนั้นอาศัยอยู่ก็อยู่ในละแวกนั้น ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของพวกคอนชุมโนรา (พวกหาบที่เก็บเครื่องแต่งกายของโนรา) พวกคอนชุมโนราจึงมักจะแวะพักผ่อนก่อนที่จะเดินทางต่อเพื่อไปแสดงโนรายังสถานที่ต่าง ๆ ผู้คนจึงมักได้เห็นเด็กหญิงคนนั้นซึ่งเป็นเด็กที่มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผิวขาว รูปร่างอ้วนสมบูรณ์แข็งแรง ยังนอนแบเบาะอยู่ บางคนเคยมาขอเด็กหญิงคนนั้นไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม แต่มารดาก็ได้ตอบปฏิเสธกับทุกคน

เนื่องจากตนเองรักและเป็นห่วงลูกมาก วันหนึ่งเมื่อโนรายก ชูบัว ไปที่ตลาดบ้านปากแตระ ได้มีคนเข้ามาบอกกับท่านว่ามารดาของเด็กหญิงคนนั้นจะยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่าน แต่โนรายก ชูบัว ก็ได้ตอบไปว่าตนเองต้องไปปรึกษากับภรรยาก่อน เนื่องจากท่านต้องนําคณะโนราไปแสดงยังสถานที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ และการไปแต่ละครั้งก็เป็นเวลานาน ครั้งหนึ่ง ๆ ประมาณ ๓-๔ เดือน จึงจะกลับมาบ้านครั้งหนึ่ง จึงทําให้ท่านกังวลไปว่าท่านอาจไม่มีเวลาพอที่จะเลี้ยงดูเด็กหญิงคนนั้นได้ดีและจะกลับเป็นภาระหน้าที่ของภรรยา ครั้นเมื่อท่านได้สอบถามภรรยาของท่านแล้วภรรยาของท่านก็ตกลงยินดี มารดาของเด็กหญิงคนนั้นจึงได้นําเด็กหญิงคนนั้นมามอบให้ท่านเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในเวลาต่อมาโนรายก ซูบัว ได้ตั้งชื่อให้เด็กหญิงคน นั้นว่า “โนรี ” ซึ่งท่านได้ให้เหตุผลที่ตั้งชื่อบุตรบุญธรรมว่าโนรี ไว้ว่า

เมื่อท่านรับเด็กหญิงคนนั้นมาเป็นบุตรบุญธรรมนั้นเด็กหญิงคนนี้ไม่มีชื่อมาก่อน แต่เมื่อท่านได้เห็นหน้าตาที่น่าเอ็นดู ผิวขาว รูปร่างอ้วนสมบูรณ์ จึงตั้งชื่อให้เด็กหญิงคนนั้นว่า “โนรี ” โดยมีความคิดว่าเนื่องจากท่านเป็นโนราที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป จึงควรจะตั้งชื่อบุตรบุญธรรมให้สอดคล้องโนรา จึงตั้งชื่อให้ว่า “ โนรี ” ซึ่งเป็นชื่อที่ท่านมุ่งหมายถึง “โนราผู้หญิง” นั่นเอง ครั้นเมื่อเด็กหญิงโนรีเริ่มเดินได้ ท่านก็เริ่มฝึกการรำมโนราห์ให้กับเด็กหญิงโนรี และได้ฝึกการรํามโนราห์เรื่อยมา จนกระทั่งเด็กหญิงโนรีรํามโนราห์ได้ เมื่อโนรายก ชูบัว เดินทางไปแสดงโนราที่ไหนก็มักจะพาเด็กหญิงโนรีไปด้วย โดยส่วนใหญ่จะให้เด็กหญิงโนรีได้ออกรํามโนราห์ในช่วงท้ายก่อนที่จะปิดการแสดง และทุกครั้งที่เด็กหญิงโนราออกรำ จะเป็นที่ชอบใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โนรีมีอายุ ๔๕ ปี แต่งงานกับนายคน ทิพย์สาลี แล้วใช้นามสกุลของสามีคือทิพย์สาลี นางโนรีเลิกรำมโนราห์แล้ว โดยได้ไปประกอบอาชีพธุรกิจอยู่กับสามีที่อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
            บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่  ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

โนรายก ชูบัว เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าเป็นผู้มีอุปนิสัยเยือกเย็น มีจิตใจหนักแน่น พูดจาสุภาพเรียบร้อยและมักจะสอดแทรกคติธรรมให้แก่ผู้ร่วมสนทนากับท่าน ท่านไม่เป็นคนเจ้าชู้ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานสูง เป็นคนตรงต่อเวลา และเมื่อท่านมีความรู้เรื่องใดแล้วท่านมักจะไม่แสดงตนในลักษณะอวดรู้ และก็ไม่ปิดบังความรู้ มีความคิด สร้างสรรค์ มีเทคนิคในการถ่ายทอดหรือการสื่อสารโดยทําเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายต่อการเข้าใจ นอกจากนั้นแล้วท่านยังเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือเพื่อนบ้าน และสังคมอย่างสม่ำเสมอไม่ถือตัว บุคลิกภาพที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของท่านคือท่านจะไม่เคยแสดงอาการโกรธหรือดุด่าว่ากล่าวให้ร้ายต่อผู้อื่น

มรณกรรม

           ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙ โนรายก ชูบัว ได้ล้มป่วยและได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลระโนด และโรงพยาบาลสงขลา เมื่อมีอาการดีขึ้นจึงได้เดินทางกลับบ้าน ต่อมาได้มีอาการแน่นหน้าอก หายใจติดขัด ทางบ้านจึงได้นําตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลระโนดอีกครั้ง แต่อาการยังไม่ดีขึ้น จึงได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ท่านเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์เป็นเวลา ๒ อาทิตย์ แพทย์เห็นว่าอาการป่วยได้ทุเลาลงจึงอนุญาตให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน แต่เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ เวลา ๒๑.๓๐ น. โนรายก ชูบัว ก็ได้ถึงแก่กรรม ณ บ้านเลขที่ ๓๔๓ หมู่ที่ ๔ อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา สิริรวมอายุได้ ๘๓ ปี ๑๐ เดือน

ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
            บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่  ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

ผลงานสำคัญ

          โนรายก ชูบัว เป็นผู้ที่มีผลงานด้านการแสดงโนราที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ โนรายก ชูบัว ไปทําสวนอยู่ที่ตําบลควนกาหลง อําเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล และเป็นช่วงเดียวกันกับที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จไปที่เกาะอาดัง ตําบลเกาะสาหร่าย อําเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล นายอําเภอควนกาหลงได้ไปเชิญโนนรายก ชูบัว เพื่อให้รำถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี การรําโนราหน้าพระที่นั่งในครั้งนั้นโนรายก ชูบัว ได้รําโนราโดยใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที และสมเด็จพระบรมราชชนนี ได้พระราชทานเข็มที่ระลึกซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติในชีวิตที่ได้มีโอกาสรําโนราหน้าพระที่นั่งโนรายก ซูบัว ได้แสดงโนรามาเกือบตลอดชีวิต จนถือได้ว่าท่านเป็นโนราชั้นครูคนหนึ่ง ต่อมาเมื่อมีอายุมากขึ้นได้รับเชิญเป็นวิทยากรสอนศิษย์ตามสถานศึกษาต่าง ๆ แต่ท่านก็ยังคงรักการรําโนราอยู่เป็นชีวิตจิตใจแม้ว่าจะไม่รําโนราแสดงเป็นเรื่องเป็นราว แต่ท่านก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะรำโนราสาธิตให้คนทั่วไปได้เห็นถึงการรําโนราที่ถูกต้องตามแบบดั้งเดิมของชาวภาคใต้ 

ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
            บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่  ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

          โนรายก ชูบัว เป็นผู้มีอัจฉริยะในการรํามโนราห์อย่างแท้จริง ท่านได้ใช้ชีวิตการเป็นศิลปินอยู่ในแวดวงของการแสดงมโนราห์มาเป็นเวลานานกว่า ๕๐ ปี ทําให้ท่านได้สั่งสมประสบการณ์ด้านการแสดงมโนราห์ไว้มากมาย มีลูกศิษย์และเพื่อนร่วมงานตลอดจนบุคคลทั่วไปที่ท่านรู้จักมากมาย อีกทั้งท่านยังได้สร้างผลงานด้านการแสดงโนราไว้มากมาย จนทําให้ท่านได้รับรางวัลต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก ซึ่งผลงานและรางวัลที่ท่านได้รับดังกล่าวถือเป็นเกียรติยศที่ทําให้โนรายก ชูบัว ได้รับการเชิดชูเกียรติจากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ซึ่งเป็นศิลปินด้านมโนราห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป จนทําให้ท่านมีความประทับใจในการแสดงมโนราห์ครั้งสําคัญ ๆ มากมายหลายครั้งรวมทั้งรางวัลต่าง ๆ  ดังต่อไปนี้

– พ.ศ. ๒๕๐๓ ว่าต้อนรับทูตวัฒนธรรม ๒๕ ประเทศ ที่กรุงเทพฯ
– พ.ศ. ๒๕๑๓ โนรายก ชูบัว ไปทำสวนอยู่ที่ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล และเป็นช่วงเดียวกันกับที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จไปที่เกาะอาดัง ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล นายอำเภอควนกาหลงได้ไปเชิญโนรายก ชูบัว เพื่อให้รำถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี การรำโนราหน้าพระที่นั่งในครั้งนั้น โนรายก ชูบัว ได้รำโนราโดยใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที และสมเด็จพระบรมราชชนนีได้พระราชทานเข็มที่ระลึก ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติในชีวิตที่ได้มีโอกาสรำมโนราห์หน้าพระที่นั่ง
 – พ.ศ. ๒๕๑๘ รําถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เกาะอาดัง ตําบลเกาะสาหร่าย อําเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ซึ่งการรำในครั้งนั้นโนรายก ขบัว ได้รับพระราชทานเข็มที่ระลึกจากสมเด็จพระบรมราชชนนี
– พ.ศ. ๒๕๑๘ เผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๕ โดยมีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ดําเนินรายการ ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษ โดยโนรายก ชูบัว ได้รับเชิญจากกรมศิลปากร ให้ไปรําโนรา ณ โรงละครแห่งชาติ พร้อมกับขุนอุปถัมภ์นรากร (โนราทุ่ม เทวา) ในการทําครั้งนั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ได้ประทานเทริดให้ ๑ ยอด ให้โนรายก ชูบัว
– พ.ศ. ๒๕๒๐ รำเผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๑๐ หาดใหญ่ สงขลา (สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง ๑๑ สงขลา)
– พ.ศ. ๒๕๒๒ รำในงานประชุมต้อนรับอธิการบดีมหาวิทยาลัยทั่วโลก ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเอเซียพัทยา จังหวัดชลบุรี
– พ.ศ. ๒๕๒๓ เผยแพร่ ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (ผ่านฟ้า ๒) จํานวน ๒ ครั้ง
– พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้รับเชิญจากสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พร้อมด้วยโนราอีก ๗ คณะ ไปรําในงาน “มหกรรมโนรา” ที่โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ
– พ.ศ. ๒๕๓๑ รําถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์ วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ
– พ.ศ. ๒๕๓๙ รำในงานกาญจนาภิเษก ณ ท้องสนามหลวง และที่ถนนราชดําเนินนอก


ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
            บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่  ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

   เกียรติคุณที่ได้รับ
  
        จากการรํามโนราห์ครั้งสําคัญ ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โนรายก ชูบัว ยังมีรางวัลและเกียรติยศอีกมากมาย ดังนี้

– พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้รับผ้ามนโนราสีสวยสด จาก พ.ต.อ. ขุนพันธรักษ์ราชเดช
– พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้รับขันเงินจากพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ ในการฉลองพระไตรปิฎกวัดหาดใหญ่ใน อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
– พ.ศ. ๒๕๐๓ รำต้อนรับทูตวัฒนธรรม ๒๕ ประเทศ ที่กรุงเทพ ฯ
– พ.ศ. ๒๕๑๘ รําถวายสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่เกาะอาดัง ตําบลเกาะสาหร่าย อําเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ซึ่งการรําถวายในครั้งนี้ ในรายก ชูบัว ได้รับพระราชทานเข็มที่ระลึกจากสมเด็จพระบรมราชชนนี
– พ.ศ. ๒๕๑๘ รำเผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๕ โดยมีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ดําเนินรายการ ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษโดยโนรายก ชูบัว ได้รับเชิญจากกรมศิลปากรให้ไปรําโนรา ณ โรงละครแห่งชาติ พร้อมกับขุนอุปถัมภ์นรากร (โนราพุ่ม เทวา) ในการรำครั้งนั้นพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ได้ประทานเทริดให้ ๑ ยอด
– พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้รับเกียรติบัตรจากกรมศิลปากร ในฐานะที่เป็นผู้ให้ความร่วมมือสนับสนุนให้การปฏิบัติหน้าที่ราชการในด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นอย่างดียิ่ง ยังผลให้กรมศิลปากรสําเร็จสมความมุ่งหมายในการทํานุบํารุงด้านศิลปวัฒนธรรม
– พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้รับโล่เกียรติยศจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะที่เป็นผู้อุทิศตนบําเพ็ญประโยชน์อย่างยิ่งต่อมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยการริเริ่มวางพื้นฐานและฝึกสอนโนราให้แก่ข้าราชการและนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
– พ.ศ. ๒๕๒๐ รำเผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๑๐ หาดใหญ่ สงขลา
– พ.ศ. ๒๕๒๒ รำในงานประชุมต้อนรับอธิการบดีมหาวิทยาลัยทั่วโลก ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเอเชีย พัทยา จังหวัดชลบุรี
– พ.ศ. ๒๕๒๓ รำเผยแพร่ ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (ผ่านฟ้า ๒) จํานวน ๒ ครั้ง
– พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้รับเชิญจากสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรม พร้อมด้วยในราอีก ๗ คณะ ไปรำในงานมหกรรมโนรา ที่โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ
– พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รับการยกย่องจากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติให้เป็นศิลปินพื้นบ้านดีเด่นสาขามโนราห์
– พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้รับโล่ศิลปินพื้นบ้านดีเด่นสาขามโนราห์ ที่คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) เป็นผู้ประกาศ โดยได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
– พ.ศ. ๒๕๓o ได้รับการยกย่องจากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติประวัติที่สําคัญยิ่งในชีวิตของท่าน
– พ.ศ. ๒๕๓๑ รําถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ
– พ.ศ. ๒๕๓๙ รำในงานกาญจนาภิเษก ณ ท้องสนามหลวงและที่ถนนราชดําเนิน กรุงเทพฯ

             โนรายก ชูบัว เป็นมโนราห?ที่มีความรู้ความสามารถในการร่าโนราเป็นอย่างดียิ่ง ผลงานด้านโนราของท่านเป็นที่ประจักษ์และยอมรับของคนทั่วไป ทั้งที่เป็นการแสดงโนรา การถ่ายทอด ศิลปะการแสดงโนราให้แก่ศิษย์ และการประพันธ์วรรณกรรมเพื่อการแสดงโนรา จนทําให้ท่านเป็นมโนราห์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของภาคใต้และท่านได้รับเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ จากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรม แห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติประวัติที่สําคัญยิ่งในชีวิตของท่าน ปัจจุบันในรายก บ้า อยู่ที่ ตําบลระโนด อําเภอระโนด จังหวัดสงขลา ท่านยังคงรับแสดงโนราอยู่ แต่เนื่องจากท่านเป็น โนราชั้นครูจึงมักจะได้รับเชิญให้แสดงเป็นการสาธิตและแสดงแก้บนเป็นส่วนใหญ่


ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
            บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่  ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
            บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่  ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

ภาพจาก : อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายยก ชูบัว จ.ม. สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) ณ ฌาปนสถานวัดราษฎร์
            บำรุง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา วันพฤหัสบดีที่  ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙


ข้อมูลพื้นฐาน

ชื่อ/สถานที่/เรื่อง บุคคลสำคัญ ที่อยู่ จังหวัด สงขลา
ที่มา : ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้-มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

อนุสาวรีย์พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก)

อนุสาวรีย์พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) ประดิษฐานอยู่ภายในวัดวัง สร้างโดย มูลนิธิพระยาพัทลุงขุนคางเหล็ก-สุลต่านสุลัยมาน

=============================
พระยาพัทลุง นามเดิมชื่อ ขุน เชื้อสายรุ่นเหลนของสุลต่านสุลัยมาน เกิดและเติบโตในกรุงศรีอยุธยา จึงพูดภาษาปักษ์ใต้ไม่ได้ เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่ออายุ 14 ปี ต่อมา เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกได้เข้าถวายตัวช่วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

เมื่อปี 2312 ท่านมีโอกาสตามเสด็จลงไปปราบก๊กเจ้าพระยานคร ครั้นเสร็จกาล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดเกล้าฯให้เป็น พระยาภักดีนุชิตสิทธิสงคราม ช่วยว่าการเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาในปี พ.ศ.2315 ก็โปรดฯให้ไปเป็นเจ้าเมืองพัทลุง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาแก้วโกรพพิไชย” รั้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุงจนถึงรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และได้ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ.2332 รวมที่รับราชการทั้งสิ้นถึง 17 ปี

ท่านได้เปลี่ยนการนับถือศาสนาอิสลามมาเป็นพุทธตามแบบอย่างของพระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นซึ่งก็คือพระเจ้าตากสินมหาราช และการได้รับพระราชทานนามขุนคางเหล็กเพราะท่านเป็น คนกล้าพูดกล้าทำเป็นนักรบตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทำศึกเคียงข้างพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งแต่สมัยอยุธยาแตกพ่ายเรื่อยมาจนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง

==============================

ที่นี่พัทลุง : บอกข่าว เล่าเรื่อง คนเมืองลุง

ประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ

วัดเขาอ้อ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ยังมีการกล่าวถึงอยู่ในพงศาวดารพัทลุง ดังปรากฏในหนังสือ “พระสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (อาจารย์ทองเฒ่า) อาจารย์ผู้เฒ่าวัดเขาอ้อ” ซึ่งอาจารย์ชุม ไชยคีรี ศิษย์เอกทางไสยเวทคนหนึ่งของสำนักวัดเขาอ้อได้ค้นคว้าและเรียบเรียงขึ้นมา เป็นประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ มีความว่า

“เท่าที่ค้นพบจากพงศาวดาร และจากคำบันทึกของพระ เจ้าของตำรา พระอาจารย์ทุกองค์ในสำนักวัดเขาอ้อมีความรู้ความสามารถในทางไสยศาสตร์ให้แก่ทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นเจ้าเมือง และนักรบมาแต่ครั้งโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยศรีวิชัยตลอดมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระอาจารย์ที่ปรากฏองค์ที่ 1 ชื่อ พระอาจารย์ทอง ในสมัยนั้นทางฟากตะวันตกของทะเลสาบตรงกับวัดพระเกิด ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน ปัจจุบันนี้

ครั้งนั้น ตามพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าวว่า ยังมีตายาย 2 คน ตาชื่อ สามโม ยายชื่อ ยายเพ็ชร์ ตายายมีบุตรหลานบุญธรรมอยู่ 2 คน ผู้ชายชื่อ กุมาร ผู้หญิงชื่อ เลือดขาว นางเลือดขาวกล่าวว่าเป็นอัจริยะมนุษย์ คือ เลือดในตัวนางมีสีขาว ผิวขาวผิดกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ

ตาสามโมเป็นนายกองช้าง หน้าที่จับช้าง เลี้ยงช้างถวายพระยากรงทอง ปีละ 1 เชือก

เมื่อบุตรธิดาทั้งสองเจริญวัยพอสมควรแล้ว ตายายจึงนำไปฝากให้พระอาจารย์ทอง วัดเขาอ้อ สอนวิชาความรู้ให้ พบบันทึกในตำราว่าเริ่มนำตัวไปถวายพระอาจารย์ทองเมื่อวันพฤหัสบดี ปีกุน เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 301 (พ.ศ.1482) จะศึกษาอยู่นานเท่าใดไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่าเป็นผู้มีความรู้ทางอยู่ยงคงกระพัน กำบังกายหายตัว และอื่นๆ เป็นอย่างดียิ่ง ต่อมาตายายให้บุตรบุญธรรมทั้งสองแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน พระยากรงทองโปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองชื่อพระกุมารและนางเลือดขาว ตั้งเมืองอยู่ที่บางแก้วฝั่งทะเลสาบตะวันตก ชื่อเมืองตะลุง ได้สร้างวัดและเจดีย์วัดตะเขียน (วัดบางแก้ว ตำบลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เดี๋ยวนี้)


การที่ให้ชื่อเมืองว่า เมืองตะลุง อาจจะเป็นเพราะว่าเดิมเป็นหลักล่ามช้าง ต่อมาจึงกลายเป็นเมืองพัทลุง พระกุมารและนางเลือดขาวเป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างวัดวาอาราม พระพุทธรูป พระเจดีย์ ในเขตเมืองพัทลุง เมืองนครศรีธรรมราช และเมืองตรัง หลายแห่งด้วยกัน เช่น วัดบางแก้ว วัดสทังใหญ่ เมื่อปีพ.ศ. 1493 สร้างวัดพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดตรัง 1 วัด สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ 1 องค์ พอจะจับเค้ามูลได้ว่าวัดเขาอ้อมีมาก่อนเมืองพัทลุง เพราะกุมารมาศึกษาวิชาความรู้ก่อนเป็นเจ้าเมือง”

และยังมีตอนหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องถึงประวัติของหลวงพ่อทวด แห่งวัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี แต่ครั้งยังอยู่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ว่า

“เมื่อจุลศักราช 991 (พ.ศ.2171) พระสามีรามวัดพะโคะ หรือที่เราทราบกันเดี๋ยวนี้ว่า หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ซึ่งประชาชนในสมัยนั้นยกย่องถวายนามว่าสมเด็จเจ้าพะโคะ ท่านได้ไปเรียนพระปริยัติธรรม ณ กรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แตกฉานในอรรถธรรม ครั้งนั้นยังมีพราหมณ์เป็นนักปราชญ์มาจากประเทศสิงหล (ลังกา) มาตั้งปริศนาปัญหาธรรมที่แสนยาก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้พระสามีรามเถระแก้ปัญหาธรรมนั้นๆ จนชนะพราหมณ์ชาวสิงหล จึงพระราชทานยศเป็นพระราชมุนี

เมื่อกลับมาเมืองพัทลุงได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระรัตนมหาธาตุไว้บนเขาพะโคะ สูง 1 เส้น 5 วา มีระเบียงล้อมรอบพระเจดีย์

ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้นฉลองพระเจดีย์นั้น ท่านอาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ พัทลุง องค์หนึ่งชื่อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งคงจะเป็นชื่อที่ยกย่องเช่นเดียวกับสมเด็จเจ้าพะโคะ นำพุทธบริษัทไปในงานฉลองพระเจดีย์ทางเรือใบ แสดงอภินิหารวิ่งเรือใบเลยขึ้นไปถึงเขาพะโคะ ซึ่งไกลจากทะเลมาก ทำให้ประชาชนที่เห็นอภินิหารเคารพนับถือ และปัจจุบันสถานที่ตรงนั้นเรียกกันว่า “ที่จอดเรือท่านอาจารย์วัดเขาอ้อ”

ต่อมา ท่านสมเด็จเจ้าพะโคะ ให้คนกวนข้าวเหนียวด้วยน้ำตาลโตนด ภาษาภาคใต้เรียกว่า เหนียวกวน ทำเป็นก้อนยาวประมาณ 2 ศอก โตเท่าขา ให้พระนำไปถวายสมเด็จเจ้าจอมทอง วัดเขาอ้อ ครั้นถึงเวลาฉันท่านสมเด็จเจ้าจอมทองสั่งให้แบ่งถวายพระทุกองค์ ศิษย์วัดตลอดถึงพระก็ไม่มีใครที่จะแบ่งได้ เอามีดมาฟันเท่าใดก็ไม่เข้า ทราบถึงสมเด็จเจ้าจอมทอง ท่านสั่งให้เอามาแล้วท่านจึงเอามือลูบ แล้วส่งให้ศิษย์ตัดแบ่งถวายพระอย่างข้าวเหนียวธรรมดา

อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จเจ้าจอมทองให้พระนำแตงโมใบใหญ่ 2 ลูก ไปถวายสมเด็จเจ้าพะโคะ พอถึงเวลาฉันก็ไม่มีใครผ่าออก สมเด็จเจ้าพะโคะทราบเข้าก็หัวเราะชอบใจ พูดขึ้นว่า สหายเราคงแสดงฤทธิ์แก้มือเรา ท่านรับแตงโมแล้วผ่าด้วยมือของท่านเองออกเป็นชิ้นๆ ถวายพระ

การแสดงอภินิหารของพระอาจารย์ครั้งโบราณเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีมากอาจารย์ด้วยกัน ต่อจากนั้นพระอาจารย์วัดเขาอ้อทุกๆ องค์ ได้แสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ตลอดมา จึงเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลทุกชั้น เจ้าเมืองพัทลุงทุกคนต้องไปเรียนวิชาความรู้ที่วัดเขาอ้อ

กล่าวสำหรับเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ เท่าที่สืบค้นพบจนถึงปัจจุบัน มี 11 รูป ด้วยกัน ดังนี้

1. พระอาจารย์ทอง

2. พระอาจารย์สมเด็จเจ้าจอมทอง

3. พระอาจารย์พรมทอง

4. พระอาจารย์ไชยทอง

5. พระอาจารย์ทองจันทร์

6. พระอาจารย์ทองในถ้ำ

7. พระอาจารย์ทองนอกถ้ำ

8. พระอาจารย์สมภารทอง

9. พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต

10. พระอาจารย์ปาล ปาลธฺมโม

11. พระครูอดุลธรรมกิตติ์ (กลั่น อคฺคธมฺโม)

พระอาจารย์วัดเขาอ้อนั้นล้วนต่างมีวิชาความรู้ความสามารถมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งนี้เพราะต่างศึกษาวิชากันมาไม่ขาดระยะ ตำราและวิชาความรู้ที่เป็นหลัก คือ การศึกษาเวทมนตร์คาถาเป็นหลัก เรียนตั้งแต่ธาตุ 4 ธาตุ การตั้งธาตุ หนุนธาตุ แปลงธาตุ และตรวจธาตุ วิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด สอนให้รู้กำเนิดที่มาของเลขยันต์อักขระต่างๆ

นอกเหนือจากการสอนวิชาความรู้ทางไสยเวทแล้ว ยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับรักษาโรคด้วยสมุนไพร

มีเรื่องเล่าขานถึงปาฏิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ในวิชาของอดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อมากมาย อย่างอดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งนับว่ามีบุญญาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก นอกจากจะมีสานุศิษย์มากมายแล้ว สัตว์ป่านานาชนิดยังเข้ามาพึ่งพาอาศัยอยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก และไม่มีผู้ใดเข้ามาทำร้ายทำอันตรายต่อสัตว์เหล่านั้น ด้วยต่างทราบกันว่า ท่านให้การปกปักรักษาเหล่าสัตว์เหล่านั้น ที่สำคัญคนละแวกวัดเขาอ้อล้วนทราบดีว่าท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์

ทว่าครั้งหนึ่งคนต่างถิ่นตามล่ากวางเผือกตัวหนึ่งของสมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งอาศัยอยู่ในวัดเขาอ้อ เป็นกวางที่เชื่องมาก โดยปกติแล้วกวางตัวนี้จะหายไปจากเขตวัดเพื่อหากินไกลๆ ครั้งละ 2-3 วัน แล้วจะกลับมาหมอบอยู่หน้ากุฏิท่าน ปฏิบัติอยู่เช่นนี้เป็นประจำ วันหนึ่งกวางเผือกตัวนี้ได้วิ่งเข้ามาหมอบอยู่หน้ากุฏิของท่านด้วยอาการแสดงความหวาดกลัวเหมือนหนีสัตว์ร้ายมา เผอิญสมเด็จเจ้าจอมทองนั่งอยู่หน้ากุฏิ และได้มองไปที่กวางด้วยอำนาจญาณสมาบัติอันสูงส่งของสมเด็จเจ้าจอมทอง จึงทราบได้ทันทีว่ากวางเผือกหนีอะไรมา ท่านจึงได้กล่าวกับพระภิกษุที่นั่งอยู่ในที่นั้นว่า “เจ้ากวางเผือกเกือบจะไปเป็นอาหารของเขาเสียแล้ว” ยังไม่ทันที่จะกล่าวสิ่งใดต่อพลันก็มีคนถือหอกวิ่งเข้ามาข้างหน้ากุฏิทำท่าง้างหอกในมือเตรียมจะทิ่มแทงกวางเผือกซึ่งหมอบอยู่ใกล้ๆ ท่าน สมเด็จเจ้าจอมทองจึงตวาดออกไปดังกังวานว่า “หยุดเดี๋ยวนี้เจ้ามนุษย์ไม่มีศีลมีธรรม จะฆ่าสัตว์แม้แต่ในเขตวัดไม่เว้น เคยเบียดเบียนแต่สัตว์ต่อนี้ไปสัตว์จะเบียดเบียนเจ้าบ้างล่ะ”

ชายผู้ถือหอกถึงกับหยุดชะงักนิ่ง และเมื่อสิ้นคำพูดของสมเด็จเจ้าจอมทอง ชายผู้นั้นก็ร้องลั่นสลัดหอกในมือทิ้ง แล้วร้องขึ้นมาว่า “งู งู ฉันกลัวแล้วงู” เพราะเห็นหอกที่ตัวเองถือเป็นงู จากนั้นจึงวิ่งหนีออกจากวัดไปพร้อมส่งเสียงร้องลั่นด้วยความกลัวงู แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหนก็เห็นงูไล่ล่าเขาอยู่ตลอด ผู้ที่เล่าเรื่องนี้กล่าวว่า ชายผู้นี้ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ หยุดนิ่งเมื่อใดจะเห็นงูไล่ล่าตัวเองอยู่ตลอด

ยังมีกาเผือกอีก 2 ตัว ที่อาศัยเกาะต้นไม้อยู่หน้ากุฏิสมเด็จเจ้าจอมทองเป็นประจำ อาศัยกินข้าวก้นบาตรที่ท่านโปรยให้ทุกวัน สมเด็จเจ้าจอมทองเคยเอ่ยถึงกาทั้ง 2 ตัวนี้ว่า “เป็นสัตว์ที่ประเสริฐไม่กินเนื้อสัตว์หรือสิ่งมีชีวิต” มีพระลูกวัดเคยโยนเศษเนื้อสัตว์จากอาหารที่ญาติโยมใส่บาตรให้กาทั้ง 2 แต่ก็หาได้กินไม่ กลับเลือกกินแต่เฉพาะเม็ดข้าวสุกเท่านั้น

อยู่มาวันหนึ่งกาเผือกทั้ง 2 บินลงมาเกาะใกล้ๆ กับที่สมเด็จเจ้าจอมทองนั่ง แล้วส่งเสียงร้องลั่นกุฏิอยู่เป็นเวลานาน สมเด็จเจ้าจอมทองก็นั่งนิ่งสงบฟังเสียงกาทั้ง 2 อย่างตั้งใจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับพระภิกษุลูกวัดที่อยู่บนกุฏิท่านว่า “กาเผือกเขามาร่ำลา ถึงเวลาที่เขาจะต้องบินกลับไปในป่าแล้ว จะไม่กลับมาอีก เจ้ากาตัวเมียจะไปวางไข่อีกไม่นานเขาคงจะต้องตาย คงไม่ได้มาเขาอ้ออีก เขาจะมาเขาอ้ออีกก็คงชาติต่อไป เขาจะต้องมาแน่”

ต่อเมื่อกาเผือกทั้ง 2 ได้รับศีลรับพรจากสมเด็จเจ้าจอมทองแล้ว ได้บินทักษิณารัตนะรอบกุฏิแล้วบินมุ่งเข้าป่าไป จากนั้นไม่มีใครพบเห็นกาเผือกทั้ง 2 อีกเลย

กล่าวสำหรับอดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อที่พอสืบค้นประวัติได้บ้าง นับแต่สมัยพระครูสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (ทองเฒ่า) แต่จะเป็นเจ้าอาวาสเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานชาวบ้านนิยมเรียกท่านว่า “พ่อท่านเขาอ้อ”

เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังทางวิทยาคมไสยศาสตร์ และแพทย์แผนโบราณ จนเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของคนทั่วไป

กล่าวว่าตรงศีรษะของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) มีเส้นผมสีขาวซึ่งไม่สามารถโกนหรือตัดขาดได้

น่าเสียดายว่าอัตโนประวัติของพระครูสังฆสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) สืบค้นได้จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังจะพอจดจำกันได้บ้างว่า พื้นเพของท่านเป็นชาวบ้านสำนักกอ ตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง บิดานั้นไม่ทราบชื่อ ส่วนมารดาชื่อ นางรอด ตัวของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) เป็นพี่คนโต และมีน้อง 2 คน เป็นชายและหญิง ครอบครัวมีอาชีพทำนา

ในการอุปสมบทจะเป็นเมื่อใด ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ตลอดจนพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ หาทราบไม่ แต่มีเรื่องเล่ากันว่า ก่อนที่ท่านจะบวชได้ล้มป่วยมีอาการหนักมาก จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานบนบานศาลกล่าวว่า หากหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจะบวชเป็นการถวายแก้บน หลังจากนั้นไม่นานอาการป่วยไข้ก็ทุเลาเบาบาง และหายไปในที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์

ซึ่งต่อมาได้อุปสมบทตามที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ และได้ศึกษาวิชากับพระอาจารย์เอียดเหาะได้ วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นศิษย์สายสำนักวัดเขาอ้อ เป็นที่กล่าวขานถึงวิชาพุทธาคมของพระอาจารย์เอียดเหาะได้ว่า เหตุที่ท่านมีสมญานามเช่นนั้นสืบเนื่องมาจาก ทุกวันพระ 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ พระอาจารย์เอียดเหาะได้ จะเหาะไปบำเพ็ญภาวนาในถ้ำที่วัดเขาอ้อเป็นประจำ ชาวบ้านหลายคนได้พบเห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตา จึงได้ขนานนามท่านว่า “พระอาจารย์เอียดเหาะได้”

กล่าวสำหรับพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ได้ชื่อว่ามีตบะบารมีสูงส่งทีเดียว ถึงกับเคยตวาดคนทีเดียวจนเป็นบ้า และเป็นผู้ที่เข้มงวดกวดขันกับบรรดาลูกศิษย์เป็นอย่างยิ่ง หากพบเห็นว่าทำสิ่งใดไม่ถูกต้องก็จะตำหนิตักเตือน ทั้งนี้ก็ด้วยความปรารถนาดีที่อยากให้ศิษย์ของท่านได้ดีในวิชาความรู้

ในส่วนของมารดาของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้บวชชีที่วัดเขาอ้อ โดยพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ได้ปลูกกุฏิให้พำนักอยู่ใกล้ๆ กับกุฏิของท่าน เพื่อจะสะดวกในการปรนนิบัติตามหน้าที่ของบุตรผู้กตัญญูตราบจนสิ้นอายุขัย

สมณศักดิ์ที่ “พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต” เจ้าคณะตำบลมะกอกเหนือ ได้รับพระราชทานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย

พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2470 ขณะอายุได้ 78 ปี

สิ่งหนึ่งที่เหลือไว้สำหรับให้รำลึกถึง คือ วัตถุมงคลที่พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ได้สร้างขึ้น นอกเหนือจากพิธีกรรมของสำนักวัดเขาอ้อ คือ พิธีอาบว่านแช่ยา พิธีหุงข้าวเหนียว พิธีป้อนน้ำมันงา ซึ่งในสมัยท่านเป็นพิธีกรรมที่เข้มขลังเป็นอย่างยิ่ง

วัตถุมงคลที่สร้างมีหลายชนิดทั้ง มีดหมอ ตะกรุด ผ้ายันต์ ลูกไม้มงคล และพระปิดตาพระอาจารย์ทองเฒ่า

พระปิดตาของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา ที่พบเห็นจะเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อตะกั่วผสมดีบุก

หากเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ วรรณะของเนื้อโลหะออกสีน้ำตาลไหม้เข้ม หากเป็นเนื้อตะกั่วผสมดีบุก จะปรากฏคราบสนิมสีแดงเรื่อๆ  ที่มาหนังสือพิมพ์ข่าวสด

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ( พระพรหมมังคลาจารย์ )

๏ อัตโนประวัติ

ปัญ จะธาตุใช่ยิ่ง ยืนยง
ญา ณะธรรมคุณ อยู่คง จิตด้วย
นัน อเนกแผ่ไพ-ศาลนา
ทะ เลทั่วผืนฟ้า จดสิ้น ดินแดน

“พระพรหมมังคลาจารย์” หรือที่ชาวพุทธรู้จักกันดีทั่วไปในนามของ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” มีนามเดิมว่า ปั่น เสน่ห์เจริญ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๕๔ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน (ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖)

ณ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง มีชื่อเล่นว่า ขาว แต่โยมมารดาเรียกว่า หมา โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายวัน และนางคล้าย เสน่ห์เจริญ (จุลบุษรา) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๕ คน ท่านเป็นบุตคนที่ ๔ กล่าวคือ มีพี่สาว ๒ คนชื่อ ขำ อนุวงศ์ และดำ บุญวิสูตร (เสียชีวิตทั้งคู่) พี่ชาย ๑ คนชื่อ พ่วง (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก) และน้องสาว ๑ คนชื่อ หนูกลิ่น กฤตรัชตนันท์

“โยมมารดา” นางคล้าย เสน่ห์เจริญ

ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ เลี้ยงวัวควาย ฐานะพอกินพอใช้ไม่ถึงกับร่ำรวย

วัยเด็ก พ.ศ.๒๔๖๒ เข้าศึกษาชั้น ป.๑ เมื่ออายุย่างเข้า ๘ ขวบ ที่โรงเรียนประจำอำเภอเมือง จ.พัทลุง โรงเรียนนี้มีครูใหญ่ชื่อเลี่ยง เวชรังษี และมีครูดำ ม่องกี้, ครูเปลื้อง กาญจโนภาส, ครูฉัตร โสภณ เป็นครูสอน เรียนจบชั้น ป.๓

ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดในการศึกษาสมัยนั้นแล้วย้ายไปศึกษาต่อชั้นมัธยมที่ โรงเรียนประจำจังหวัดพัทลุง ซึ่งนักเรียนเป็นชายล้วน (สมัยนั้นไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ) เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๓ หลังโรงเรียนเปิดภาคเรียน ตั้งแต่วันที่ ๑๗ พฤษภาคม มีครูโชติ เหมรักษ์ ต่อมาเป็นขุนวิจารณ์จรรยา เป็นครูใหญ่

เนื่องจากโรงเรียนอยู่ไกลบ้าน จึงอาศัยวัดยางซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนเป็นที่พักจนจบ ม.๓ ขณะเรียน ม.๔ ต่อได้ครึ่งปี บิดาป่วยจึงต้องลาออกมาช่วยเหลือครอบครัว

“หลวงลุง” พระอาจารย์พุ่ม ธมฺมทินฺโน


พ.ศ.๒๔๗๐ ขณะอายุ ๑๖ ปี ได้ติดตาม “หลวงลุง” พระอาจารย์พุ่ม ธมฺมทินฺโน วัดคูหาสวรรค์ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง ไปยังรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย แล้วต่อมากลับมาทำงานเหมืองแร่และสวนยาง ที่ จ.ภูเก็ต ได้ค่าจ้างวันละ ๙๐ สตางค์



๏ การศึกษาหาหลักธรรม

พ.ศ.๒๔๗๒ อายุ ๑๘ ปี ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดอุปนันทาราม ต.เขานิเวศน์ อ.เมือง จ.ระนอง เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๒ โดยมีพระรนังควินัยมุนีวงศ์ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูพิพัฒน์สมาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์

ต่อมา ท่านได้เป็นครูใหญ่ในโรงเรียนประชาบาล เงินเดือนๆ ละ ๒๕ บาท และเรียนนักธรรมไปพร้อมกันโดยสอบนักธรรมตรีได้ที่ ๑ ทั้งมณฑลภูเก็ต จนพระยาอมรศักดิ์ประสิทธิ์ (ทนง บุนนาค) เจ้าเมืองภูเก็ตขณะนั้น ถวายรางวัลผ้าไตร ๑ ไตร นาฬิกา ๑ เรือน หัวข้อกระทู้ธรรมในการสอบครั้งนั้นคือ “น สิยา โลกวฑฺฒโน – ไม่พึงเป็นคนรกโลก”

พ.ศ.๒๔๗๔ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดนางลาด ต.เขาเจียก อ.เมือง จ.พัทลุง เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๔ โดยมีพระครูจรูญกรณีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระมหาพลัด วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูเคว็จ วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “ปทุมุตฺตโร” แปลว่า “ดอกบัวประเสริฐ หรือผู้ประเสริฐดุจดอกบัว”

พ.ศ.๒๔๗๕ เทศน์ครั้งแรกที่วัดปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ในวันพระวันหนึ่ง บังเอิญเจ้าอาวาสไม่อยู่ ชาวบ้านมาทำบุญและอยากฟังเทศน์ตามปกติ จึงนิมนต์พระปั่นขึ้นธรรมาสน์ เพราะเห็นว่ามีความรู้ขั้นนักธรรมเอก แล้วท่านก็สร้างความอัศจรรย์แก่ชาวบ้านบนศาลาวัด เมื่อแสดงธรรมเทศนาได้อย่างคล่องแคล่ว โดยไม่อาศัยหนังสือใบลานเลยแม้แต่น้อย นับเป็นการเริ่มต้นชีวิตพระนักเทศน์ขึ้นครั้งแรก ณ วัดแห่งนี้

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ “พระโลกนาถ” พระภิกษุชาวอิตาเลียนผู้โด่งดัง มีแนวคิดจะเดินธุดงค์จากเมืองไทยผ่านพม่า อินเดีย และประเทศต่างๆ แถบยุโรปจนถึงประเทศอิตาลีบ้านเกิด เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ประกาศชักชวนพระสงฆ์สามเณรไทยเข้าร่วมเดินธุดงค์ พระปั่นมีความสนใจจึงชักชวนพระสงฆ์สามเณรอีก ๘ รูป (พระบุญชวน เขมาภิรัต ร่วมเดินธุดงค์ไปด้วย สามเณรมีรูปเดียวคือ สามเณรกรุณา กุศลาสัย)

จากจังหวัดนครศรีธรรมราช และ พัทลุงไปสมทบ ท่านพุทธทาสก็ถูกพระโลกนาถ ชักชวนด้วย แต่ท่านปฏิเสธ มาบอกความในใจภายหลังว่า “ไม่เลื่อมใส เพราะพระฝรั่งรูปนี้ตั้งชื่อเหมือนพระพุทธเจ้า (นามโลกนาถ เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า)” เรียกคณะธรรมทูตชุดนี้ว่า “พระภิกษุใจสิงห์”

ในบรรดาคณะธรรมทูต “พระภิกษุใจสิงห์” มีพระบุญชวน เขมาภิรัต หรือท่าน บ.ช.เขมาภิรัต เพียงรูปเดียวเท่านั้นที่สามารถสื่อสารกับ “พระโลกนาถ” ได้ เพราะท่านสามารถพูดเขียนภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสได้ ซึ่งพระปั่น ปทุมุตฺตโร (ปัญญานันทะ)

ได้เอ่ยถามวันหนึ่งว่า ไปเรียนภาษาเหล่านี้มาจากไหน ท่านตอบสั้นๆ ว่า “เรียนเอง”

ขณะคณะสงฆ์ ๙ รูป เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟนครศรีธรรมราช มีญาติโยมติดตามไปส่งมากมายนับพันคน และที่นี่ก็ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ฮือฮาอีกหน้าหนึ่ง เมื่อพระปั่นแสดงปาฐกถาธรรมด้วยการยืนเทศน์บนม้านั่ง หน้าไมโครโฟน

หลังสถานีรถไฟ กลายเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่ยืนเทศน์ของวงการสงฆ์เมืองไทย ซึ่งต่อมาเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างจากวงการสงฆ์ว่า ไม่เหมาะสม ไม่สำรวม บ้างก็ว่าไม่ได้เทศน์ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ได้อ่านจากใบลาน แต่เรื่องนี้ก็ได้รับการยอมรับในเวลาต่อๆ มา

แต่การเดินทางจาริกแสวงบุญครั้งนี้ก็ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ เมื่อเดินทางถึงประเทศพม่าแล้ว สุดท้ายพระปั่นจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย (คงมีแต่สามเณรกรุณา กุศลาสัย ติดสอยห้อยตามพระโลกนารถไปผจญภัยในภารตประเทศ) โดยท่านล่องใต้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอุทัย อ.เมือง จ.สงขลา และสร้างตำนานการบรรยายธรรมนอกใบลาน ทันยุคสมัย จนเกิดการบอกเล่ากันปากต่อปาก ทำให้มีกิจนิมนต์ไปบรรยายธรรมอยู่มิได้ว่างเว้น

พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๖ ศึกษาภาษาบาลี ณ วัดสามพระยา แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ จนสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค แล้วเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ ๒) จึงไม่ได้เรียนต่อ แล้วหันมาสนใจเทศน์สอนธรรมแก่ประชาชนในเวลาต่อมา


ท่านพุทธทาสภิกขุ

๏ สหายธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ

พ.ศ.๒๔๘๐ ไปจำพรรษาที่สวนโมกขพลาราม ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านพุทธทาสภิกขุ และท่านบุญชวน เขมาภิรัต หรือท่าน บ.ช.เขมาภิรัต (พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร อดีตเจ้าอาวาสวัดขันเงิน ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร) เป็น “สามสหายธรรม” ร่วมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และหลักธรรมที่แท้จริงตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

อย่างไรก็ดี ท่านพุทธทาสและท่าน บ.ช.เขมาภิรัต ได้ชี้แนะให้ท่านเรียน “เปรียญธรรม” เพื่อให้สามารถค้นคว้าเรียนรู้และเข้าใจพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ทำให้ท่านต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาในระดับที่สูงขึ้น จนกระทั่งสอบได้ศึกษาบาลีที่วัดสามพระยานั่นเอง


พระปั่น ปทุมุตฺตโร (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) พ.ศ.๒๔๘๑


๏ ประกาศธรรมแก่ชาวบ้านที่เชียงใหม่

เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๒ ไปจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการปาฐกถาธรรม โดยสร้างโรงมุงใบตองขึ้นในที่ของชาวบ้านซึ่งเรียกว่าศาลาธรรมทาน (พุทธสถานเชียงใหม่ในปัจจุบัน) เทศน์ทุกวันอาทิตย์ ส่วนวันพระออกเทศน์ตามหมู่บ้านโดยรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียง ในระหว่างนี้ หลวงพ่อได้ไปปักหลักแสดงปาฐกถาธรรมแข่งกับโรงหนัง แรกๆ ก็มีผู้มายืนฟังสี่ห้าคน แล้วก็เพิ่มขึ้นๆ เป็นร้อย จนกระทั่ง “โรงหนังแทบต้องปิด” เพราะคนมาฟังพระเทศน์หมด พร้อมทั้งได้เขียนเรื่องลงในหนังสือพิมพ์ชาวเหนือ โดยใช้ฉายาและนามปากกาว่า “ปัญญานันทะ” ซึ่งความจริงแล้วนามปากกา “ปัญญานันทะ” ก็ไม่ไกลจากความหมายของนามเดิม (ปทุมุตฺตโร) แต่อย่างใด เรียกว่าเป็นแก่นหรือสาระของนามเดิมนั้นเอง เพราะพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมเจริญงอกงามด้วยปัญญา เป็นดอกบัวบานที่ไม่ยอมหุบ ชูช่อชูก้านไสวตลอดกาล

จนกระทั่งท่านมีชื่อเสียงขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ในนาม “ภิกขุปัญญานันทะ” ผู้สนับสนุนคนสำคัญคือ เจ้าชื่น สิโรรส ทั้งนี้ ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นเวลานานถึง ๑๐ พรรษา (พ.ศ.๒๔๙๒-๒๕๐๒)

พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นประธานก่อตั้งพุทธนิคม จ.เชียงใหม่ และประธานมูลนิธิ “ชาวพุทธมูลนิธิ” วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

ในยุคนี้เองที่หลวงพ่อได้ก่อตั้งมูลนิธิ “เมตตาศึกษา” ที่วัดเจดีย์หลวง ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และบำเพ็ญศีล กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกมากมาย



๏ วัดชลประทานรังสฤษฎ์

ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ม.ล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน (ในสมัยนั้น) ระหว่างที่ไปเยือนจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากได้ฟังการแสดงธรรมของหลวงพ่อ เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ก็ได้เกิดความเลื่อมใสในวิธีการสอนธรรมะแนวใหม่ของท่าน จากเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรม แบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์ เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นอย่างมาก

และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา และความประทับใจในลีลาวิธีการถ่ายทอดธรรมะแนวใหม่ของหลวงพ่อ ม.ล.ชูชาติ กำภู ซึ่งเกิดความศรัทธาปสาทะในหลวงพ่อ และกรมชลประทาน จึงได้มอบที่ดินและสร้างวัดใหม่ขึ้นมา ชื่อ “วัดชลประทานรังสฤษฎ์” เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ ณ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พร้อมทั้งได้อาราธนาหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นต้นมา



ต่อมาท่านเริ่มปฏิรูปและปรับประยุกต์พิธีกรรมประเพณีทางศาสนา ให้เป็นไปเพื่อส่งเสริมสติปัญญาตามหลักการ “เป็นระเบียบ เรียบง่าย ประหยัด ให้สมกับเหตุการณ์ และให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง” วัดชลประทานรังสฤษฎ์จึงเป็นวัดที่ปราศจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลัง การบอกใบ้หวย การเข้าทรงองค์เจ้า แต่วัดแห่งนี้มุ่งเน้นในเรื่องของหลักธรรมคำสอนและการปฏิบัติตามแก่นธรรม แห่งพระพุทธศาสนา เพื่อขัดเกลาจิตใจของผู้คนให้หลุดพ้นจากกิเลสที่พอกพูน โดยมี “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” ทำหน้าที่เป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม ขับเคลื่อนหลักธรรมคำสอนเผยแพร่สู่สาธารณชนมาโดยลำดับ

รวมทั้ง ท่านยังเป็นผู้ริเริ่มการแสดงปาฐกถาธรรมวันอาทิตย์ ณ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ โดยได้ดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยวิธีที่ท่านได้เริ่มปฏิวัติรูปแบบการเทศนาแบบดั้งเดิมที่นั่งเทศนาบน ธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรมแบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์ เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นอย่างมาก ซึ่งในช่วงแรกๆ ได้รับการต่อต้านอยู่บ้าง แต่ต่อมาภายหลังการปาฐกถาธรรมแบบนี้กลับเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปจนถึงบัดนี้ เมื่อพุทธศาสนิกชนทราบข่าวว่า หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุจะไปปาฐกถาธรรมที่ใดก็จะติดตามไปฟังกันเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดหลวงพ่อได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงปาฐกถาธรรมในสถานที่ต่างๆ และเทศนาออกอากาศทั้งทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ จนถึงปัจจุบัน

หลวงพ่อเป็นพระแท้ พระที่ยืนหยัดอยู่กับจุดยืนของพระพุทธเจ้า เทิดทูนพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะที่พึ่งแท้จริง ไม่ไขว้เขว และก็พร่ำสอนประชาชนให้ยืนอยู่จุดนี้ ปาฐกถาส่วนมากของท่านจะชี้ให้ทำลายความโง่ งมงาย ยึดติดในที่พึ่งภายนอก เช่น เครื่องรางของขลัง ไม่ว่าเหรียญพระเหรียญเทพ ที่คนบ้ากันหัวปักหัวปำอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านจะวิพากษ์วิจารณ์ตลอด ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ท่านถือว่าหน้าที่ของพระคือ “ชี้ทางสวรรค์ให้ชาวบ้าน” ทางสวรรค์ก็คือ แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง อยู่ในศีลในธรรม ไม่งมงายในสิ่งไร้สาระ

นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้รับอาราธนาไปแสดงธรรมในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น และยังได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมและกล่าวคำปราศรัยในการประชุมองค์กรศาสนาของ โลกเป็นประจำอีกด้วย



โดยที่หลวงพ่อท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ได้สร้างผลงานไว้มากมายทั้งด้านศาสนาสังคมสงเคราะห์ ตลอดจนงานด้านวิชาการ ดังนั้น หลวงพ่อจึงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณมากมาย และเป็นประธานในการดำเนินกิจกรรมทั้งที่เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและ สังคม เช่น สนับสนุนโครงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดน เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกโรงพยาบาลกรมชลประทาน ๘๐ ปี (ปัญญานันทะ) และเป็นประธานในการดำเนินการจัดหาทุนสร้างวัดปัญญานันทาราม จ.ปทุมธานี เป็นต้น

หลวงพ่อท่านมีความปราดเปรื่องในการเทศนาธรรม บรรยายธรรม โดยท่านจะใช้คำพูดแบบเรียบง่าย เข้าใจง่าย ไม่อ้างคำบาลีมากมายจนเข้าใจยากและฟังไม่รู้เรื่อง ท่านเป็นผู้ที่มีวาทศิลป์เป็นเลิศ อธิบายหลักธรรมให้คนทั่วไปเข้าใจอย่างง่ายๆ เป็นพระที่ต่อต้านการนำศาสนามาหากิน หลอกลวงชวนเชื่อให้งมงาย ทุกครั้งที่แสดงปาฐกถาธรรมในสถานที่ต่างๆ จะมีประชาชนเข้าฟังเป็นจำนวนมาก วิธีการของท่านคือ จะไปบรรยายธรรมตามหอประชุมต่างๆ ตามคำเชิญ เช่น ศาลาปฏิบัติธรรม สถานที่ราชการ โรงเรียน และสถานศึกษาต่างๆ เป็นต้น แทนการให้มานั่งฟังกันที่วัด ตามรูปแบบเดิมๆ ที่เคยปฏิบัติกันมา

แม้ว่าคำสอนของหลวงพ่อจะเป็นคำสอนที่ฟังแล้วง่ายต่อการเข้าใจ แต่ก็ลึกซึ้งด้วยหลักธรรมและอุดมการณ์อันหนักแน่นในพระรัตนตรัย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุเป็นหนึ่งในบรรดาพระภิกษุผู้มีชื่อเสียง เปี่ยมด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม ผู้นำคำสอนในพระพุทธศาสนามาประยุกต์สอนให้เหมาะสมสำหรับชาวพุทธทุกชนชั้น ง่ายต่อการที่จะเข้าถึง หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่กล้าในการปฏิรูปพิธีกรรมทางศาสนาของชาวไทย ที่ประกอบพิธีกรรมหรูหรา ฟุ่มเฟือย โดยเปลี่ยนเป็นประหยัด มีประโยชน์ และเรียบง่าย ดังนั้น หลวงพ่อจึงได้รับการขนานนามว่า “ผู้ปฏิรูปพิธีกรรมของชาวพุทธไทย” ในปัจจุบัน



หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ-ท่านพุทธทาสภิกขุ


๏ พระปัญญานันทภิกขุ…ภิกษุสี่แผ่นดิน

แม้วันนี้ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” หรือ “พระพรหมมังคลาจารย์” จะมีอายุมากถึง ๙๖ ปีแล้ว แต่ทุกวันของท่านยังคงดำเนินไปเพื่อกิจแห่งพระพุทธศาสนา ด้วยดำรงวัตรปฏิบัติอย่างเรียบง่าย ทั้งการเทศน์สั่งสอนประชาชนจนถึงการชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์ โดยทุกๆ เช้าวันอาทิตย์ ณ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ การแสดงปาฐกถาธรรมโดยหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ได้ดำเนินมากว่า ๕๐ ปี จนเรียกได้ว่าเป็นประเพณีหนึ่งของพุทธศาสนิกชน

หลวงพ่อได้เล่าให้ญาติโยมอย่างติดตลกว่า สำนักนายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัล “พระแก่” ให้หลวงพ่อ เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนความดีในฐานะที่ “แก่แล้วแต่ยังไม่หยุดทำงาน”

ภาพหลวงพ่อนั่งบนรถเข็นไปตามทางเดินในวัด พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของบรรดาศาสนิกชนผู้เลื่อมใสศรัทธาทั้งเด็กและ ผู้ใหญ่ต่างนั่งลงกราบไหว้ตามทางที่หลวงพ่อไป หลวงพ่อจะยกมือทักทาย จับศีรษะเด็กๆ ที่มากราบไหว้ข้างๆ รถเข็นด้วยความเมตตา



หลายคนอาจไม่ทราบว่าหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุมี “พี่น้องร่วมสาบาน” ใน “ยุทธจักรแห่งธรรมะ” ที่นำทัพต่อสู้กับ “ฝ่ายอธรรม” หรือ “กิเลส” ซึ่งอยู่ภายในจิตใจมนุษย์ กล่าวคือ ท่านปัญญานันทภิกขุ เป็นท่านน้องเล็ก พระบุญชวน เขมาภิรัต หรือท่าน บ.ช.เขมาภิรัต (พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร อดีตเจ้าอาวาสวัดขันเงิน ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร) เป็นท่านพี่รอง และ ท่านพุทธทาสภิกขุ คือท่านพี่ใหญ่ อุดมการณ์เพื่อศาสนาของหลวงพ่อจึงไม่แตกต่างจาก “ปราชญ์แห่งแผ่นดิน” อย่างท่านพุทธทาสภิกขุ

พระบุญชวน เขมาภิรัต ชาวพุทธทั่วไปไม่ค่อยมีใครรู้จักเท่าไหร่นัก ท่านเป็นกวีที่แท้จริงที่มหัศจรรย์ยิ่ง เหมาะสมกับสมณศักดิ์ล่าสุดว่า “พระราชญาณกวี” งานเขียนบทกลอนสอนธรรมของท่านได้ลงตีพิมพ์ติดต่อกันในหนังสือ “พุทธจักร” รวมทั้ง งานเขียนแปลบทกวีภาษาอังกฤษเป็นบทกวีไทย ที่มีความไพเราะลึกซึ้งมาก โดยใช้นามปากกาว่า “บ.ช.เขมาภิรัต”

หลวงพ่อพูดถึงหลวงพ่อบุญชวน ว่า “พี่ท่านเป็นคนอารมณ์ร้อน จะทำอะไรต้องให้สำเร็จในบัดเดียวนั้น บางทีค้นคว้าหนังสือเพื่อหาคำตอบบางเรื่อง ก็หมกมุ่นอยู่นั่นแล้ว ไม่ยอมวาง ขยันเกินเหตุ ครั้งหนึ่งมีผู้เอาหนังสือแปลวิชาการภาษาต่างประเทศมาให้ท่านตรวจ ท่านอ่านแล้วขัดใจ ลงทุนแปลให้ใหม่เลย คร่ำเคร่งไม่หลับไม่นอนจนกระทั่งเส้นโลหิตในสมองแตก ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษากัน ค่อยยังชั่วแล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้นเหมือนเดิม จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพ พี่ท่านมรณภาพเพราะซีเรียสเกินไป แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเป็นบุคลิกของแต่ละคน”

ทั้งนี้ ท่าน บ.ช.เขมาภิรัต ได้มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑



“สามสหายธรรม” ท่านพุทธทาสภิกขุ-ท่าน บ.ช.เขมาภิรัต-ท่านปัญญานันทภิกขุ


“ข้าพเจ้าขอถวายชีวิตจิตใจนี้ แด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอมอบกายใจแด่พระพุทธศาสนา จะทำงานให้แก่พระศาสนาจนตลอดชีวิต” หลวงพ่อได้กล่าวคำอธิษฐานต่อหน้าพระบรมธาตุกลางเมืองนครศรีธรรมราช ภายหลังเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ไม่ถึงพรรษา ระหว่างนั้นได้มีโอกาสเทศน์เป็นครั้งแรกด้วยความบังเอิญ จึงเริ่มฝึกการเทศน์จนเริ่มมีชื่อเสียง

วันหนึ่ง หลวงพ่อได้ออกเดินทางไปพร้อมกับหลวงพ่อบุญชวน เพื่อกลับไปเยี่ยมท่านพุทธทาส หลังจากวันนั้นทั้งสามเกิด “อุดมการณ์” อันมั่นคงแน่วแน่ที่ตรงกัน กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการศึกษาค้นคว้า “แนวทางใหม่” ให้แก่พระพุทธศาสนา

แต่เดิม หลวงพ่อตั้งใจไว้ว่าจะไม่เป็นสมภารที่วัดใด นอกเสียจากว่าเป็นวัดใหม่หรือวัดร้างที่ไม่มีพระสงฆ์ เพราะหากมีพระประจำวัดอยู่แล้ว จะทำการปฏิรูปสิ่งต่างๆ ได้ลำบาก กระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๓ ม.ล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน (ในสมัยนั้น) ได้นิมนต์หลวงพ่อปัญญาฯ ลงมาเป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ ซึ่งเป็นวัดสร้างใหม่

ในสมัยนั้น การเดินทางมาวัดนี้ค่อนข้างลำบากเพราะอยู่ห่างไกลความเจริญ ทว่าสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลวงพ่อที่ต้องการสร้างรากฐาน พัฒนา และบุกเบิกการเข้าถึงพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง หลวงพ่อจึงเริ่มงานจากการ “ปฏิรูปทางจิตใจ” ไม่เน้นการสร้างพุทธสถานโอ่อ่าอลังการ มีการแก้ไขพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่าง เช่น พิธีบวชที่เน้นความเรียบง่าย โดยผู้ที่มีความประสงค์จะบวชจะต้องผ่านการทดสอบโดยการสวดมนต์เช้า-เย็น ส่วนพิธีงานศพ ไม่อนุญาตให้มีการเล่นพนัน กินเหล้าในงาน งดเว้นการสวดบาลี เพราะเห็นว่าสวดไปคนก็ฟังไม่รู้เรื่อง ท่านจึงเปลี่ยนเป็นการเทศน์เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แทน

จวบจนถึงปัจจุบัน ภาพอันน่าปลาบปลื้มปีติได้เกิดขึ้นทุกวันอาทิตย์ ณ ลานหินโค้ง (ลานไผ่) แห่งวัดชลประทานรังสฤษฎ์แห่งนี้ ซึ่งจะเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนจำนวนหลักร้อยหลักพัน ไม่ใช่เหตุเพราะมีงานปลุกเสกหรือแจกเครื่องรางของขลัง หากแต่เป็นเพราะพุทธานุภาพของหลวงพ่อที่ได้เทศน์สั่งสอนผู้คนมาหลายยุคหลาย สมัย จนทำให้ที่นี่คลาคล่ำไปด้วยประชาชน ทั้งคนหนุ่มสาว ครอบครัว และคนชรา ที่ต่างมาร่วมกันมาทำบุญตักบาตร เลี้ยงเพลพระ ไม่ต้องไปให้ใครเสกวัตถุมงคลให้ มานี่ มาที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์นี่ จะ “เสกความดี” ใส่ตัวให้

ด้วยความที่หลวงพ่อเป็น “พระนักพัฒนา” ในวันนี้ วัดชลประทานรังสฤษฎ์จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ หากแต่ยังประโยชน์สำหรับฆราวาสเพื่อศึกษาพระธรรมและทำกิจกรรมทางศาสนา ตลอดจนเป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัฒนธรรมเพื่อเยาวชนไทย


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จนฺทสิริ)


๏ งานด้านการปกครอง

พ.ศ.๒๕๐๓-พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ทั้งนี้ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ในสมัยนั้น) เป็นประธานอ่านพระราชกฤษฎีกายุบวัดโบสถ์และวัดเชิงท่า แล้วย้ายมารวมกันที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จนฺทสิริ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมวิสุทธาจารย์ วัดสุทัศนเทพวราราม แขวงราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ เจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี (ในสมัยนั้น) เป็นประธานทำพิธีเปิดวัดชลประทานรังสฤษฎ์ พร้อมอัญเชิญพระประธานขึ้นประดิษฐานบนแท่นในพระอุโบสถ และมอบใบแต่งตั้งพระปัญญานันทมุนี จากวัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่ เป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๓

พ.ศ.๒๕๐๖ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ประเภทวิสามัญ และได้อุปสมบทหม่อมหลวงชอบ อิศรศักดิ์ อายุ ๖๖ ปี เป็นคนแรก เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖

– เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตสายที่ ๙ (ตรัง กระปี่ พังงา ภูเก็ต ระนอง สงขลา พัทลุง นราธิวาส สตูล ปัตตานี และยะลา)

พ.ศ.๒๕๑๗ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ทรงแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าคณะภาค ๑๘ (สงขลา พัทลุง นราธิวาส สตูล ปัตตานี และยะลา) เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๗ โดยในขณะนั้นมีพระธรรมปัญญาบดี (เพียร อุตฺตโม) วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง เป็นเจ้าคณะภาค ๑๘

พ.ศ.๒๕๑๘ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ประเภทสามัญ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๘

พ.ศ.๒๕๓๔ เป็นประธานอำนวยการก่อตั้งศูนย์สืบอายุพระพุทธศาสนา วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๔

– เป็นประธานมูลนิธิภิกขุปัญญานันทะ

– เป็นประธานมูลนิธิวัดชลประทานรังสฤษฎ์ (ที่ระลึก ๘๐ ปี ปัญญานันทะ)

พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นประธานมูลนิธิท่านพุทธทาส

– เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธธรรม เมืองฮินสเดล รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

พ.ศ.๒๕๔๐ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะภาค ๑๘ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๐


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


พ.ศ.๒๕๔๒ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ทรงแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๘ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๒

๏ งานด้านการศึกษา

พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นเจ้าสำนักศาสนาศึกษา แผนกธรรมและบาลี วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

พ.ศ.๒๕๑๒ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๒ เริ่มเปิดสอนพุทธศาสนาวันอาทิตย์แก่เยาวชน โดยอาศัยสถานที่ของโรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๒๗ เมื่ออาคารโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์สร้างแล้วเสร็จ จึงย้ายมาเรียนมาสอนกันภายในวัดชลประทานรังสฤษฎ์

พ.ศ.๒๕๒๔ เป็นผู้อำนวยการจัดการการอบรมพระธรรมทายาทของวัดชลประทานรังสฤษฎ์

– เป็นผู้อำนวยการจัดการอบรมพระนวกะที่บวชในวัดชลประทานรังสฤษฎ์


๏ งานด้านการเผยแผ่

พ.ศ.๒๔๙๒-๒๕๐๒ เป็นองค์แสดงปาฐกถาธรรมประจำวันพระและวันอาทิตย์ ณ พุทธนิคม วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นองค์แสดงธรรมทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุโทรทัศน์

– เป็นผู้ริเริ่มการทำบุญ ฟังธรรมในวันอาทิตย์ ณ วัดชลประทานรังสฤษฎ์

– เป็นผู้ก่อตั้งทุนพิมพ์หนังสือเพื่อเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชน

พ.ศ.๒๕๑๘ เป็นผู้อบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ ๑๖/๒๕๑๘, รุ่นที่ ๑๗/๒๕๑๙ จากกระทรวงยุติธรรม

พ.ศ.๒๕๒๑ เริ่มแสดงปาฐกถาธรรมทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน เวลา ๘.๐๐-๘.๓๐ น. ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ซึ่งถ่ายทอดเสียงทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๑ เป็นต้นมา

พ.ศ.๒๕๒๔ ริเริ่มบวชพระนวกะประจำเดือนในวัดชลประทานรังสฤษฎ์

– ริเริ่มโครงการพระธรรมทายาท อบรมพระภิกษุให้เป็นนักเผยแผ่ธรรมะที่ดี

พ.ศ.๒๕๒๕ ริเริ่มโครงการส่งหนังสือธรรมะเป็น ส.ค.ส. ปีใหม่

พ.ศ.๒๕๒๙ ไปร่วมประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์อาเซียนเพื่อสันติภาพ ครั้งที่ ๗ ณ ประเทศประชาธิปไตยประชาชนลาว

พ.ศ.๒๕๓๔ เป็นผู้ริเริ่มจัดค่ายคุณธรรมแก่เยาวชนตามโรงเรียนต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย ฯลฯ

พ.ศ.๒๕๔๙ แสดงปาฐกถาธรรมในงานประชุมผู้นำชาวพุทธนานาชาติ ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ

 
ท่านถือเป็นหนึ่งในผู้มอบกายถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนาอย่างมิรู้จักเหน็ด เหนื่อย มุ่งหน้าทำงานสั่งสอนประชาชน ทั้งนี้ ท่านได้ประกาศนโยบายประกาศธรรม ไว้ ๒ ข้อ ความว่า

“ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้ารักและบูชาพุทธธรรมมาก เพราะซาบซึ้งในรสสัจธรรมเป็นอย่างดีว่า พระธรรมให้ผลแก่ชีวิตของข้าพเจ้าอย่างไร จึงขอพูดถึงนโยบายในการประกาศธรรมว่า ข้าพเจ้ามีความมุ่งหมายในการทำงานเพื่ออะไร ท่านจักไม่ต้องสงสัยกันต่อไปอีกว่า ข้าพเจ้าเป็นพระประเภทใด ข้าพเจ้ามีนโยบายแน่วแน่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้เหตุการณ์ของประเทศชาติจะผันผวนไปอย่างใด ใครจะมาครองเมืองก็ตามที ข้าพเจ้าจะทำตามนโยบายของข้าพเจ้าเสมอ ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนใจของข้าพเจ้า จากความเชื่อและการกระทำ ข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะพูดหรือกระทำอันผิดๆ ความประสงค์ของพระพุทธองค์ ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตเป็นธรรมพลีแล้ว

ความมุ่งหมายของข้าพเจ้า จึงอยู่ในกฎเกณฑ์ ๒ ประการ คือ

(๑) เพื่อประกาศความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศไว้

(๒) เพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำผิดๆ ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้หมดไป ตามพุทธธรรมที่พระบรมศาสดาแสดงไว้”


จริงอยู่พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงประกาศแล้ว แม้จะสรุปให้กะทัดรัดสั้นสุด ว่ามี ๒ ประการ คือ (๑) ความทุกข์ และ (๒) การดับทุกข์ เท่านั้น แต่เอาเข้าจริงแล้วมิใช่เรื่องเล็กเลย เพราะการจะชี้ให้คนทั่วไปเห็นว่านี่คือความทุกข์ไม่ใช่ของง่าย แม้ว่าเขาคนนั้นกำลังอยู่ในวังวนของความทุกข์ เขายังไม่รู้ว่าตนกำลังทุกข์ เขายังคิดว่าเป็นสุขเสียอีก ไม่ต่างกับหนอนอ้วน ดำผุดดำว่ายอยู่ในหลุมอาจม เทวดามาชวนไปอยู่สวรรค์ ก็ไม่ยอมไป เพราะรู้ว่าบนสวรรค์นั้นต้องเนรมิตเอาอาหารหรือสิ่งที่ต้องการจึงจะได้ เหนื่อยเปล่าๆ สู้อยู่ที่หลุมคูนี่ดีกว่า ไม่ต้องเสียกำลังเนรมิต ถึงเวลาพระคุณเจ้าก็จะมาเนรมิตให้เอง

ยิ่งภารกิจทำลายความโง่งมงายของคนยิ่งต้องออกแรงมาก หลวงพ่อต้องต่อสู้กับความโง่งมงาย หรือความยึดติดของผู้คน เช่นปาฐกถาธรรมตอนหนึ่งความว่า “เทวดา (พระภูมิ) เป็นเทวดาชั้นต่ำ แค่บ้านอยู่ยังไม่มีปัญญาสร้าง ต้องให้คนเมตตาสร้างให้ สร้างบ้านให้เขาแล้ว เขาควรมากราบไหว้คนสร้างให้ นี่อะไร คนยังมานั่งไหว้เขาปลกๆ ดูแล้วมันน่าหัวเราะ…”

ต่อไปนี้คือเนื้อหาส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ซึ่งท่านได้ให้คติธรรมโดยเฉพาะเรื่อง “สติ” ไว้เตือนใจสาธุชนเป็นอย่างดี หลวงพ่อท่านกระตุ้นมโนธรรมสำนึกได้วิเศษนัก ความดังนี้

“ในโลกนี้มีเรื่องทุกแห่ง เขาแย่งกันเป็นใหญ่เพื่ออะไร เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะมีจะได้ มีตัณหา โลภะเข้าครอบงำจิตใจ ไม่รู้จักบังคับตัวเอง โลกพัฒนามาหลายพันปีแล้ว แต่ว่ายังไม่เข้าถึงธรรมะในศาสนานั้นๆ ถือศาสนาไม่ถึงเนื้อแท้ของพระศาสนา

ชาวพุทธในเมืองไทย เรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท แปลว่าผู้แวดล้อมพระพุทธเจ้า แต่แวดล้อมเฉยๆ ไม่เคยเอาธรรมะมาปฏิบัติ ในโบสถ์ในวิหาร ควรจะเป็นสถานที่สงบ ให้ทุกคนมานั่งสงบจิตสงบใจ น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรมอันเป็นคำสอน นึกถึงพระสงฆ์ผู้สืบพระศาสนา แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เข้าไปในโบสถ์ ก็ไปขอร้องวิงวอนด้วยประการต่างๆ จะเอานั่น เอานี่ ไปขอพระพุทธรูป

พระพุทธรูปเขาไม่ได้สร้างให้คนไปไหว้ไปขออย่างนั้น สร้างเพื่อจูงใจให้เรานึกถึงพระคุณของพระองค์ แต่ส่วนมากไม่เอาพระคุณมาใช้ แต่ไปวิงวอนขอร้องบนบาน

ถ้าเราเข้าไปในโบสถ์ ต้องไปนั่งสงบใจ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ ระลึกถึงความกรุณา นึกถึงปัญญา นึกถึงความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า นั่งคิดนั่งนึกให้เห็นว่า พระองค์มีความกรุณาปรานีต่อสัตว์โลกอย่างไร พระพุทธเจ้าเที่ยวพัฒนาสอนคนให้หายโง่งมงาย เวลาเขาทำอะไรไม่เข้าท่า พระองค์จะตรัสว่า อารยชนเขาไม่ทำอย่างนี้

บุรุษหนึ่งพ่อตาย ก่อนตายสั่งลูกไว้ว่าให้ไหว้ทิศทั้งหก ลูกก็เชื่อฟัง ไปอาบน้ำ นุ่งห่มผ้าอย่างดีแล้วไปยืนไหว้ทิศตะวันออก ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ไหว้ทุกวัน พระพุทธเจ้าเสด็จมาเห็นเข้า ถามว่าเธอทำอะไร ไหว้ทิศตามคำสั่งของพ่อ พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า “พ่อเธอมิได้หมายความเช่นนั้น ทิศหมายถึงคนที่เราเกี่ยวข้องหกประเภท คือ บิดามารดา ครูอาจารย์ สมณะชีพราหมณ์ สามีภรรยา นายจ้างลูกจ้าง มิตรสหาย สอนให้ปฏิบัติตนอย่างไร ทำหน้าที่ให้ถูกต้องต่อบุคคลนั้นต่างหาก คือการไหว้ทิศ ไม่ใช่ให้ไปยกมือไหว้ปลกๆ แบบนี้”

หลวงพ่อพูดสอนธรรมะได้อย่างมหัศจรรย์ ครบสูตรของ “หลักการเผยแผ่ธรรม” อยู่ในตัว คือ ชี้ชัด ชักชวนให้อยากปฏิบัติ ฝึกให้กล้า เร้าให้ร่าเริง พระที่ยืนเทศน์หรือนั่งเทศน์ปากเปล่า ไม่เคยมีโน้ตวางข้างหน้าแม้แต่ครั้งเดียว พูดเจื้อยแจ้ว เสียงใส ชัดถ้อยชัดคำ ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากบางๆ นั้น ยังกับเจียระไนมาอย่างดี สละสลวย ไพเราะ เริงรื่น ชื่นใจ ก่อเกิดปีติปราโมทย์อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ในเมืองไทยนี้มีพระคุณเจ้ารูปนี้รูปเดียว ท่านเป็นนักเผยแผ่ธรรมชั้นยอด หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก เรียกได้ว่าหลวงพ่อท่านได้สร้างประวัติศาสตร์ของการเทศน์สอนธรรมที่โด่งดัง ที่สุดชนิดที่ไม่มีใครจะลบประวัติศาสตร์หน้านี้ได้เลยทีเดียว ทั้งหมดนี้เป็นแรงจูงใจให้ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายอยากจะเอาแบบอย่าง ฝึกฝนตนเองเพื่อให้ได้อย่างหลวงพ่อ หรืออย่างน้อยก็ส่วนเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี

“การสร้างพระคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ สุด วิเศษที่สุด ก็คือคัมภีร์ธรรมที่อยู่ในใจของเรา เอาร่างกายเป็นตู้ใส่คัมภีร์ เอาใจเป็นที่จารึกพระคัมภีร์ จารึกไว้ในใจตลอดเวลา” นี้คือหลักธรรมคำสอนที่ท่านมีความมุ่งหมายจะปลูกฝังให้อยู่ในจิตใจของชาวพุทธทั่วไป

หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุสั่งหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ว่า อย่าลืมเทศน์สอนเน้นย้ำ เรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ให้มากและให้บ่อยที่สุด เจ้าความเห็นแก่ตัวนี้แหละร้ายกาจ ทำให้ชาติวิบัติฉิบหาย ต้องช่วยกันพยุงชาติศาสนาให้คงอยู่ต่อไป ด้วยการชี้โทษของความเห็นแก่ตัว



แสดงปาฐกถาธรรมในงานประชุมผู้นำชาวพุทธนานาชาติ ครั้งที่ ๓
เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ


๏ งานด้านการเผยแผ่และศาสนากิจในต่างประเทศ

พ.ศ.๒๔๗๖ ร่วมคณะธรรมทูตชุดที่ชื่อว่า “พระภิกษุใจสิงห์” รวม ๔๕ รูป เดินธุดงค์ไปเผยแผ่ธรรมที่ประเทศพม่ากับ “พระโลกนาถ” พระภิกษุชาวอิตาเลียน โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระราชทานอุปถัมภ์รูปละ ๕๐ บาท พร้อมหนังสือเดินทาง

พ.ศ.๒๔๙๗ เดินทางไปเผยแผ่ธรรมและช่วยเหลือกิจการพุทธศาสนาในต่างประเทศ อาทิเช่น ในทวีปยุโรป ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เยอรมัน ฯลฯ และร่วมประชุมกับขบวนการฟื้นฟูศีลธรรมโลก (M.R.A.) ที่เมืองโคซ์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จนหลวงพ่อได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์รูปแรกของไทยที่ได้เดินทางไปประกาศธรรมใน ภาคพื้นยุโรป

พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธธรรม เมืองฮินสเดล รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

พ.ศ.๒๕๓๖ ไปร่วมประชุมและบรรยายในการประชุมสภาศาสนาโลก ณ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม-๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๖

๏ งานด้านสาธารณูปการและสาธารณประโยชน์

พ.ศ.๒๕๑๖ เป็นประธานในการก่อสร้างกุฏิสี่เหลี่ยม เพื่อเป็นที่อยู่แก่พระภิกษุผู้บวชใหม่

พ.ศ.๒๕๑๘ เป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนพุทธธรรม (สำหรับอุบาสกอุบาสิกา) และโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ (สำหรับเด็กเยาวชน) วัดชลประทานรังสฤษฎ์

พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ (ตึก ๘๐ ปี ปัญญานันทะ) โรงพยาบาลชลประทาน ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี สิ้นทุนทรัพย์ ๒๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองร้อยยี่สิบล้านบาท)

– เป็นประธานมูลนิธิแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และหาทุนสร้างศูนย์ฝึกอบรมมูลนิธิแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา สิ้นทุนทรัพย์ ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สามสิบล้านบาท) ซึ่งไม่รวมหาทุนจัดซื้อที่ดิน เพิ่มอีก ๕๐๐ ไร่

พ.ศ.๒๕๓๔ เป็นประธานสร้างพระอุโบสถให้วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) จ.เชียงใหม่ ประมาณ ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท (สามล้านห้าแสนบาท)

พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างโรงอาหารให้โรงเรียนประภัสสรรังสิต ต.นาท่อม อ.เมือง จ.พัทลุง ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาท (สามแสนบาท)

– เป็นประธานสร้างวัดปัญญานันทาราม ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี สิ้นทุนทรัพย์ ๗๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดสิบเจ็ดล้านบาท)

– บริจาคเงินเป็นทุนอาหารกลางวันเด็กนักเรียนในโรงเรียนท้องถิ่นที่ขาดแคลนต่างๆ หลายจังหวัด

– เป็นประธานก่อสร้างกุฏิสองหลังเป็นกุฏิทรงไทยประยุกต์

พ.ศ.๒๕๓๘ เป็นประธานทอดผ้าป่าหาทุนให้โรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท (สี่แสนบาท)

พ.ศ.๒๕๓๙ เป็นประธานสร้างวัดพุทธปัญญา ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี

พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นประธานทอดผ้าป่าหาทุนซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลวชิระ ภูเก็ต ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ประมาณ ๓,๓๐๐,๐๐๐ บาท (สามล้านสามแสนบาท)

– เป็นประธานทอดผ้าป่าหาทุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลพัทลุง ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท (สี่แสนบาท) เป็นประจำทุกปี

พ.ศ.๒๕๔๔ เป็นประธานจัดหาทุนสร้างอาคารเรียน ๔ ชั้น อาคาร ๙๐ ปี พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทะ) ให้โรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ จ.นนทบุรี สิ้นทุนทรัพย์ ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สิบสองล้านบาท)

– เป็นประธานทอดผ้าป่าหาทุนให้โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ ต.ท่าใส อ.เมือง จ.นนทบุรี ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท (สี่แสนบาท) เป็นประจำทุกปี

พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นประธานจัดหาทุนสร้างอาคารที่พักสงฆ์อาคันตุกะ อาคาร ๙๒ ปี ปัญญานันทะ ให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตวังน้อย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา สิ้นทุนทรัพย์ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าสิบล้านบาท)

– เป็นประธานสร้างถนนให้โรงเรียนนนทบุรีพิทยาคม ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท (สี่แสนบาท)

พ.ศ.๒๕๔๗ เป็นประธานหาทุนซื้อที่ดิน ๑๒๕ ไร่ ให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตวังน้อย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา สิ้นทุนทรัพย์ ๑๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้านบาท)

– เป็นประธานทอดผ้าป่าให้โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ จ.นนทบุรี ประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาท)

– เป็นประธานอุปถัมถ์ให้โรงเรียนนนทบุรีพิทยาคม จ.นนทบุรี

– เป็นประธานอุปถัมถ์ให้โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ จ.นนทบุรี

– เป็นประธานอุปถัมถ์ให้โรงเรียนชลประทานสงเคราะห์ จ.นนทบุรี

– เป็นกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ) โรงเรียนประชาอุปถัมภ์ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี

พ.ศ.๒๕๔๘ เป็นประธานหาทุนสร้างศูนย์เด็กเล็กบ้านโตมด ต.โตมด อ.โตมด จ.พัทลุง สิ้นทุนทรัพย์ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านบาท)

– เป็นประธานหาทุนสร้างอุโบสถ์กลางน้ำ ให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตวังน้อย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา สิ้นทุนทรัพย์ ๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาท)

พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นประธานทอดผ้าป่าให้โรงเรียนนนทบุรีพิทยาคม จ.นนทบุรี ประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองล้านบาท) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๐


(ซ้าย) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กรุงเทพฯ
(ขวา) พระพรหมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
(กลาง) พระเทพปริยัติเมธี (รุ่น ธีรปญฺโญ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดชลประทานฯ


๏ งานพิเศษ

พ.ศ.๒๕๐๓ ได้แสดงพระธรรมเทศนาถวายแด่สมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนี ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๓

พ.ศ.๒๕๑๘ ได้แสดงพระธรรมเทศนาถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ณ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๘

– ได้แสดงพระธรรมเทศนาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ในพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดีอันมีศักดิ์ยิ่ง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๘

– เป็นพระอุปัชฌาย์อุปสมบทแก่ช่าวต่างประเทศ ที่อุปสมบทในประเทศไทย เช่น ชาวอเมริกัน อังกฤษ ออสเตรเลีย เยอรมัน ญี่ปุ่น และศรีลังกา เป็นต้น

พ.ศ.๒๕๒๙ ได้รับนิมนต์เข้าร่วมประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์อาเซียนเพื่อสันติภาพ ครั้งที่ ๗ ณ ประเทศประชาธิปไตยประชาชนลาว (12th Asain Buddist Conference for Peace)

พ.ศ.๒๕๓๖ ได้รับนิมนต์เข้าร่วมประชุมและบรรยายในการประชุมสภาศาสนาโลก ๑๙๙๓ ณ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม-๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๖ (The 1993 Parliament of the world’s Religion)


๏ งานด้านวิทยานิพนธ์

ได้เขียนหนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาไว้มากมาย เช่น

๑. ทางสายกลาง
๒. คำถามคำตอบพุทธศาสนา
๓. คำสอนในพุทธศาสนา
๔. หน้าที่ของคนฉบับสมบูรณ์
๕. รักลูกให้ถูกทาง
๖. ทางดับทุกข์
๗. อยู่กันด้วยความรัก
๘. อุดมการณ์ของท่านปัญญา
๙. ปัญญาสาส์น
๑๐. ชีวิตและผลงาน
๑๑. มรณานุสติ
๑๒. ทางธรรมสมบูรณ์แบบ
๑๓. 72 ปี ปัญญานันทะ เป็นต้น

๏ ผลงานและเกียรติคุณดีเด่น

พ.ศ.๒๕๒๐ ได้รับรางวัลสังข์เงิน เป็นเกียรติในฐานะพระภิกษุผู้เผยแผ่ธรรมะยอดเยี่ยม ประจำปี ๒๕๒๐ จากสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย

พ.ศ.๒๕๒๑ ได้รับรางวัลนักพูดดีเด่น ประจำปี ๒๕๒๐ ประเภทเผยแพร่ธรรม จากสมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๑

พ.ศ.๒๕๒๕ ได้รับการยกย่องและคัดเลือกให้เป็นบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาใน โอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี โดยได้รับรางวัล ๒ รางวัล ๒ ประเภท คือ ประเภท ก. บุคคล และประเภท ง. สื่อสารมวลชน (รายการส่งเสริมธรรมะทางสถานีวิทยุโทรทัศน์) เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๕

พ.ศ.๒๕๒๖ จากผลการพัฒนาวัดชลประทานรังสฤษฎ์ กรมการศาสนาได้พิจารณาให้เป็น “วัดพัฒนาตัวอย่างดีเด่น ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๕” สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ ทรงพอพระทัยได้ประทานพัดพัฒนาไว้เพื่อเชิดชูเกียรติ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๖

พ.ศ.๒๕๒๘ ได้รับโล่เป็นเกียรติในการประชุมวิชาการ ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๘/๒๕๒๙ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

พ.ศ.๒๕๓๑ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ ทรงประทานวุฒิบัตรสัญลักษณ์อนุรักษ์ผู้ประพฤติธรรม เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๑

พ.ศ.๒๕๓๘ ได้รับโล่รางวัลคนดีศรีปักษ์ใต้ จากสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๘

– ได้รับรางวัลเหรียญทอง TOBACCO OR HEALTH MEDAL-1955 จากองค์การอนามัยโลก (ยูเนสโก) เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๘

พ.ศ.๒๕๓๙ ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณวิทยากรผู้สัมมนาโครงการปีรณรงค์ประชาร่วมใจกำจัด โรคเรื้อน จากกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙

– ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณวิทยากรผู้สัมมนาโครงการเพิ่มพูนความรู้พนักงาน สอบสวน จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กรมตำรวจ (ปัจจุบันคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ในสมัยที่พลตำรวจโทมนัส ครุฑไชยันต์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

พ.ศ.๒๕๔๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯ พระราชทานโล่รางวัลมหิดลวรานุสรณ์

พ.ศ.๒๕๔๔ อายุครบ ๙๐ ปีบริบูรณ์ ในวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๔ คณะศิษยานุศิษย์ทั้งในและต่างประเทศพร้อมใจกันจัดงานธรรมสมโภช และอาจริยบูชา

พ.ศ.๒๕๔๖ ได้รับรางวัลศาสตรเมธี สาขาสังคมศาสตร์ ด้านศาสนาและปรัชญา จากมูลนิธิศาสตราจารย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๖

พ.ศ.๒๕๔๘ ได้รับโล่รางวัลเกียรติคุณศิษย์เก่าดีเด่นของโรงเรียนพัทลุง ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง จากคณะกรรมการจัดงาน ๑๐๐ ปีโรงเรียนพัทลุง เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๘

– ได้รับใบประกาศเกียรติบัตรการบริจาคสมทบทุนจัดซื้อที่ดินมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) จากพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘

พ.ศ.๒๕๔๙ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทาน ในการบำเพ็ญกุศลครบ ๙๕ ปี พระพรหมมังคลาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙

– สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร จำนวน ๑๐ ไตร สำหรับทอดถวายพระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ ในการบำเพ็ญกุศลครบ ๙๕ ปี พระพรหมมังคลาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙

– ได้รับใบประกาศรางวัลเชิดชูเกียรติบุคคลต้นแบบคนดีศรีแผ่นดิน ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จาก ฯพณฯ นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙

ซ้าย : พระพรหมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
ขวา : พระเทพปริยัติเมธี (รุ่น ธีรปญฺโญ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดชลประทานฯ


พ.ศ.๒๕๕๐ ได้รับการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี (ช่อง ๙ อสมท.) รายการคนค้นคน ตอน ชีวิตเพื่องาน งานเพื่อธรรมะ ของบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด เมื่อวันที่ ๙ และวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐

– ได้รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐ ของสำนักงานคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีศาสตราจารย์ ดร.เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ เป็นประธานกรรมการคุรุสภา จาก ฯพณฯ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐

– ได้รับโล่รางวัลและใบประกาศสดุดีเกียรติคุณผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จาก ฯพณฯ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ ทั้งนี้ ตามประกาศสดุดีเกียรติคุณส่วนหนึ่งที่ว่า “….ด้วยเพราะท่านเป็นพระมหาเถระผู้เจริญด้วยวัยวุฒิ บริสุทธิ์ด้วยศีลาจารวัตร ปฏิบัติศาสนกิจด้วยจิตมุ่งมั่นที่จะทำงานเผยแผ่ธรรมะตลอดชีวิตการทำงานของ ท่าน จวบกาลบัดนี้ สิริอายุได้ ๙๖ ปี พรรษา ๗๖ นับว่าเป็นผู้ที่สูงอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังทุ่มเททำงานเป็นประโยชน์แก่สังคมด้วยการแสดงปาฐกถาธรรม ประกอบกิจกรรมสาธารณประโยชน์ กิจกรรมการแพทย์และพยาบาล การศึกษาของภิกษุสามเณร พุทธบริษัททั้งในและต่างประเทศ จนเป็นที่ยอมรับเลื่อมใสศรัทธากันทั่วไป คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติในการประชุม เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ จึงมีมติขอประกาศสดุดีเกียรติคุณท่านในฐานะ “ผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี พ.ศ.๒๕๕๐” เพื่อเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นเจริญรอยตามต่อไป”

 
๏ ปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

พ.ศ.๒๕๒๔ ได้รับปริญญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาครุศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔

พ.ศ.๒๕๓๒ ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาวิชาศึกษาศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๒

พ.ศ.๒๕๓๔ ได้รับปริญญาการศึกษาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔

พ.ศ.๒๕๓๖ ได้รับปริญญาอักษรศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๖

– ได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาปรัชญาและศาสนา) จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖

พ.ศ.๒๕๓๗ ได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๗

พ.ศ.๒๕๔๔ ได้รับปริญญาการศึกษาศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาวิชาสังคมศึกษา)จากมหาวิทยาลัยทักษิณ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๔

พ.ศ.๒๕๔๗ ได้รับปริญญาศาสนศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาวิชาพุทธศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๗

– ได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๗


ภาพเมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมโกศาจารย์


๏ ลำดับสมณศักดิ์

เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระปัญญานันทมุนี”

เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ “พระราชนันทมุนี”

เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ “พระเทพวิสุทธิเมธี”

เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ “พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณดิลก สาธกธรรมภาณ วิสาลธรรมวิภูษิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏหรือรองสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนามที่ “พระพรหมมังคลาจารย์ ไพศาลธรรมโกศล วิมลศีลาจารวินิฐ พิพิธธรรมนิเทศ พิเศษวรกิจจานุกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”


อนุสาวรีย์ภิกขุปัญญานันทะ
ณ วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) อ.เมือง จ.เชียงใหม่




๏ ลำดับการจำพรรษา

พ.ศ.๒๔๗๒-๒๔๗๓ (๒ พรรษา) ขณะเป็นสามเณร จำพรรษาที่วัดอุปนันทาราม ต.เขานิเวศน์ อ.เมือง จ.ระนอง

พ.ศ.๒๔๗๔-๒๔๗๕ (๒ พรรษา) จำพรรษาที่วัดหน้าพระบรมธาตุ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

พ.ศ.๒๔๗๖-๒๔๗๙ (๔ พรรษา) จำพรรษาที่วัดอุทัย อ.เมือง จ.สงขลา

พ.ศ.๒๔๘๐ (๑ พรรษา) จำพรรษาที่สวนโมกขพลาราม ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

พ.ศ.๒๔๘๑-๒๔๘๖ (๖ พรรษา) จำพรรษาที่วัดสามพระยา แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ

พ.ศ.๒๔๘๗-๒๔๘๘ (๒ พรรษา) จำพรรษาที่วัดอุทัย อ.เมือง จ.สงขลา

พ.ศ.๒๔๘๙-๒๔๙๐ (๒ พรรษา) จำพรรษาที่วัดศรีตะวัน รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย

พ.ศ.๒๔๙๑ (๑ พรรษา) จำพรรษาที่วัดปิ่นบังอร รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย

พ.ศ.๒๔๙๒-๒๕๐๒ (๑๑ พรรษา) จำพรรษาที่วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

พ.ศ.๒๕๐๓-๒๕๓๕ (๓๓ พรรษา) จำพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

พ.ศ.๒๕๓๖ (๑ พรรษา) จำพรรษาที่วัดพุทธธรรม เมืองฮินสเดล รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

พ.ศ.๒๕๓๗-๒๕๕๐ จำพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี


ลูกศิษย์ต่างแห่มากราบเคารพสรีระสังขารของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ณ โรงพยาบาลศิริราช


๏ การมรณภาพ

พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) ได้มรณภาพลงอย่างสงบ ด้วยอาการโรคปอดอักเสบและไตวายเฉียบพลัน ณ โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ เมื่อเวลา ๐๙.๐๕ น. ของวันพุธที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ สิริอายุรวม ๙๖ ปี ๔ เดือน ๒๙ วัน พรรษา ๗๖ การมรณภาพของท่าน พระผู้เป็น “สุปฏิปันนสาวก” ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธบุตรผู้เป็น “ประทีปส่องทางชีวิต” แก่ชาวพุทธทั้งปวง ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการคณะสงฆ์ไทย ท่ามกลางความเศร้าสลดอาลัยของคณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องสูญเสียปูชนียสงฆ์รูปสำคัญอันเป็นแม่ทัพธรรมระดับแนวหน้าไปอย่างสงบ เหลือทิ้งไว้แต่ผลงานอันทรงคุณค่าคุณูปการยิ่งที่อุทิศให้แด่พระศาสนา เป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำไว้เบื้องหลัง


ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงว่า โรงพยาบาลศิริราชได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลชลประทาน ในการส่งหลวงพ่อปัญญาฯ มารักษาตัวตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม เวลา ๑๓.๓๐ น. โดยเข้าพักรักษาตัวที่ตึก ๘๔ ปี ชั้น ๕ ห้อง ๕๒๙ โดยท่านมีอาการหน้ามืด วูบ เหนื่อย และแน่นหน้าอก ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงพ่อปัญญาฯ เคยอาพาธเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน และเคยได้รับการถ่างขยายหลอดเลือด และใส่สเต็น (stent) หรือขดลวดอยู่แล้ว

เมื่อหลวงพ่อปัญญาฯ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ทีมแพทย์จึงให้การดูแล และวินิจฉัยว่าน่าจะมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ทางแพทย์ได้ตรวจอีกครั้งด้วยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดหัวใจ พบว่ามีการตีบตันของหลอดเลือดจริง จึงขยายหลอดเลือดหัวใจพร้อมได้ใส่สเต็นไว้ และให้พักรักษาที่ห้องไอซียู หออภิบาลทางโรคหัวใจ ในวันที่ ๕ ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนจะย้ายกลับไปรักษาที่ตึก ๘๔ ปี ในวันที่ ๖ ตุลาคม

ปรากฏว่าในช่วงบ่ายวันที่ ๖ ตุลาคม หลวงพ่อปัญญาฯ เริ่มไอ มีเสมหะ และติดเชื้อ จึงย้ายไปรักษาที่หออภิบาลอีกครั้ง และได้เอ็กซเรย์ปอด พบว่าเริ่มมีการติดเชื้อในปอด จึงต้องให้ยาปฏิชีวนะ นอกจากนี้ ตรวจพบว่าการทำงานของไตเริ่มแย่ลง การติดเชื้อมากขึ้น ทำให้การใช้ยาควบคุมทำได้ยาก สุดท้ายเกิดไตวายเฉียบพลัน และเมื่อคืนวันที่ ๙ ตุลาคม หลวงพ่อปัญญาฯ มีอาการหัวใจวายและหยุดหายใจ ๑ ครั้ง ทางทีมแพทย์ต้องช่วยรักษาให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่ในตอนเช้าท่านมีอาการทรุดหนัก การทำงานของหัวใจแย่ลงอีก จนกระทั่งมรณภาพในที่สุด เมื่อเวลา ๐๙.๐๐ น. ในช่วงเช้าของวันที่ ๑๐ ตุลาคม นี้




ขบวนแห่สรีระสังขารของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มาตั้งบำเพ็ญกุศล
ณ ศาลาขจรประศาสน์ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เมื่อวันที่ ๑๒ ต.ค. ๒๕๕๐


 
บรรยากาศพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมศพหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ กำหนด ๗ คืน
ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๘ ต.ค. ๒๕๕๐ ณ ศาลาขจรประศาสน์ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี


ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์พิธีศพพระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี เป็นอเนกประการ ดังนี้ (๑) พระราชทานพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม กำหนด ๗ คืน (๒) การบำเพ็ญพระราชกุศล ๗ วัน, ๕๐ วัน, ๑๐๐ วัน (๓) บำเพ็ญพระราชกุศลออกเมรุพระราชทานเป็นกรณีพิเศษ พร้อมทั้งพระราชทานสิ่งของ ได้แก่ หีบพร้อมเครื่องสุกำศพ, พร้อมดอกไม้ประดับศพ เมรุ ดอกไม้จันทน์แก่แขกที่มาพระราชทานเพลิงศพ, ผ้าไตรพร้อมจตุปัจจัยถวายพระสงฆ์บังสุกุลก่อนเคลื่อนศพ, พระนำศพ พระบังสุกุลก่อนพระราชทานเพลิงศพ, พระสามหาบ (พระเก็บกระดูก), จตุปัจจัยถวายพระสงฆ์หน้าไฟ, ภัตตาหารถวายบรรจุปิ่นโตถวายพระพระราชทาน, ลุ้งสำหรับใส่อังคาร, น้ำเลี้ยงพระสงฆ์และแขกที่มาร่วมงานทั้งหมด โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเป็นกรณีพิเศษ

ส่วนโกศทองแปดเหลี่ยมกับเครื่องประกอบพิธีศพ น้ำหลวงสรงศพ สวดพระอภิธรรม ๓ คืน และไตรครอง ๑ ไตร เป็นสิ่งที่ต้องได้รับพระราชทานตามระดับชั้นสมณศักดิ์อยู่แล้ว



พระพยอม กัลยาโณ-หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ


๏ การสูญเสียแม่ทัพธรรมระดับแนวหน้า

พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี กล่าวว่า ประเทศไทยได้สูญเสียแม่ทัพระดับแนวหน้าทางธรรม หลังจากได้สูญเสียแม่ทัพก่อนหน้านี้มาแล้วคือ ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี หลวงพ่อปัญญาฯ เป็นพระที่ยืนหยัดแนวทางไม่เอาวัตถุมงคล แต่ใช้พระธรรมคำสั่งสอน ไม่เอาแนวอื่นนอกจากแนวพระพุทธศาสน์ล้วนๆ ในการขับเคลื่อนพระพุทธศาสนา ผลที่ได้รับคือวัดในกรุงเทพฯ ได้นำแนวทางนี้ไปใช้เกือบทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้หลวงพ่อปัญญาฯ ยังปฏิรูปประเพณี เช่น งานบวช งานเผาศพ ฯลฯ จะต้องมีประโยชน์สุดประหยัดสูง

ในบรรดาพระที่เผยแผ่จะต้องรู้สึกว่าท่านเป็นเสมือนแม่ทัพธรรม การสูญเสียหรือมรณภาพก็เหมือนขาดหัวหอกที่คอยฟาดฟันกิเลส เพราะธรรมะของท่านเป็นคำสอนที่ไม่เอาเรื่องลึกลับ เพราะเรื่องลึกลับมันดับทุกข์ไม่ได้ ท่านเน้นลึกซึ้งมากกว่า เพราะถ้าเราเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งเมื่อไหร่ ความทุกข์ก็จะลดลงได้ เราไม่ควรไปโศกเศร้าเสียใจกันมาก เพราะสังขารก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถึงเวลาต้องไปเราก็ต้องไป ต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เอาคำสอนของท่านมาฟัง แล้วเอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน หมั่นสร้างความดีจะดีกว่า

จะหาพระสงฆ์องค์ไหนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ในสิ่งที่ถูกต้องเหมือนหลวงพ่อปัญญาฯ ไม่มีอีกแล้ว เพราะท่านเป็นพระสงฆ์ที่กล้าทะลวงฟันกิเลสสังคม ก่อนหน้านี้อาตมาเคยพูดคุยบอกกับหลวงพ่อปัญญาฯ ไว้ว่า หากมีเวลาว่างๆ จะมารับท่านไปดูศูนย์ปฏิบัติธรรมสาขาบุรีรัมย์ ที่อาตมากำลังก่อสร้างอยู่ แต่ไม่ทันที่จะได้รับหลวงพ่อไป ท่านก็จากไปเสียก่อนแล้ว

พระพยอม กล่าวต่อว่า สำหรับทายาททางธรรมของหลวงพ่อปัญญาฯ นั้น หาได้แต่ไม่ใกล้เคียง อาตมาอยากสมัครเป็นทายาททางธรรมของท่าน แต่ไม่รู้ท่านจะรับหรือเปล่า หลวงพ่อปัญญาฯ เคยพูดไว้ว่า ถ้าไม่ทำตามแนวท่านสอนอย่ามาวอนเรียกอาจารย์ และท่านไม่เคยพูดถึงทายาททางธรรม ไม่ระบุว่าเป็นใคร

อาตมาพยายามที่อยากจะทำตามแนวทางของหลวงพ่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้ขี้ฝุ่นของท่านเลย กระดูกมันคนละเบอร์ ทำให้นึกถึงตอนสมัยแรกๆ ที่อาตมาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดชลประทานใหม่ๆ ก่อนที่จะเริ่มเทศน์เป็น หลังจากที่เทศน์เป็นแล้ว หลวงพ่อปัญญาฯ มาบอกกับอาตมาว่า ในเมื่ออาตมาสามารถที่เทศน์สอนคนได้แล้ว และเจอทางที่ถนัด ก็ควรที่แยกกันไปตามทางเพื่อทำงานช่วยเหลือสังคมกันตามที่ถนัด ไม่ควรเสียเวลาที่จะช่วยเหลือคน อาตมาจึงเริ่มออกเดินทางโดยนับถือแนวทางปฏิบัติของท่านตั้งแต่นั้นมา

“เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ตั้งแต่เช้าท่านปัญญามรณภาพ วิทยุโทรทัศน์ต่างเสนอข่าวมากมาย และมุ่งมาที่อาตมา อาตมามีความตั้งใจแน่วแน่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านปัญญา คือจะเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนไม่ให้คนหลงในเรื่องไสยเวทย์ จะทำให้คนชัดเจนในเรื่องแนวพุทธศาสน์ให้มากขึ้น อาตมาชอบแนวของท่านปัญญา เคยร่วมงานกับท่านเป็นเวลาหลายปี เคยไปจำวัดอยู่กับท่าน สนทนาธรรมกับท่าน มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเคยบอกว่า เป็นพระ เณร ต้องมีคุณค่าของนักบวช ต้องทำงานให้พระศาสนา ต้องทุ่มเทเต็มที่”

สุดท้ายอยากให้ทุกคนรู้ว่าหลวงพ่อปัญญาฯ จากไปครั้งนี้ อย่าสิ้นศรัทธา อย่าสิ้นปัญญา ที่จะสืบบางอย่างที่ท่านทำเก็บเอาไว้เป็นคุณูปการต่อแผ่นดิน ขอให้ช่วยกันคิดช่วยกันทำให้มาก


แบบจำลองพระอุโบสถกลางน้ำ




๏ พระอุโบสถกลางน้ำ งานชิ้นสุดท้ายที่ยังทำไม่เสร็จ

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ตั้งปณิธานที่จะทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาเป็นงานชิ้นสุดท้ายในชีวิตว่า “จะขอสร้างพระอุโบสถกลางน้ำ ตราบใดที่มีลมหายใจเข้าออก ต้องทำให้สำเร็จ ไม่สำเร็จ ไม่เลิก”, “ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามนั้น ถ้าไม่เสร็จ และยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องทำให้มันเสร็จ” และ “ถ้าโบสถ์ไม่เสร็จ ไม่ตาย”

สำหรับที่มาของแนวคิดในการจัดสร้างพระอุโบสถกลางน้ำ ก็คือ ความต้องการที่จะแก้ปัญหาการขาดแคลนสถานที่สังฆกรรมขนาดใหญ่ จึงต้องการที่จะจัดหาพื้นที่รองรับพระภิกษุสงฆ์นับเป็นจำนวนพันรูป ที่จะเข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตวังน้อย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยพระอุโบสถแห่งนี้จะเป็นที่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ร่วมกันในจำนวนมากอย่างพร้อม เพรียง ด้วยเล็งเห็นว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) จะเป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านพระพุทธศาสนาขนาดใหญ่ เทียบได้ใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัยนาลันทา ประเทศอินเดีย

พระอุโบสถกลางน้ำไม่เพียงแต่ใช้เป็นที่ชุมชุมของสงฆ์ หากแต่พระอุโบสถแห่งนี้ยังมุ่งหมายให้ประเทศไทยเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็น ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา สามารถใช้การประกอบพิธีทางศาสนาของชาวพุทธ “ทั่วโลก” และใช้เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์เพื่อทดแทนสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทำลายไปใน สมัยเสียกรุงศรีอยุธยา ทั้งนี้ เมื่อการก่อสร้างมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตวังน้อย เสร็จสิ้นแล้ว มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้จะรองรับพระภิกษุสงฆ์ได้จำนวนมากถึง ๒๐,๐๐๐ รูป

หลวงพ่อปัญญาฯ เคยกล่าวไว้ว่า “พระอุโบสถกลางน้ำเป็นสถานที่ในการศึกษาเรียนรู้ของผู้สนใจในหลักธรรมะ เคยเห็นผู้ที่เดินทางไปเรียนหลักธรรมะจากประเทศอินเดีย จีน ถ้าอยากให้คนต่างชาติมาเรียนพุทธศาสนาในไทย ก็จะต้องสร้างแหล่งเรียนรู้ที่น่าศึกษาเรียนรู้ให้เกิดขึ้น”

นอกจากนี้ หลวงพ่อปัญญาฯ ยังกล่าวไว้อีกว่า “ควร จะทำ ฝากสิ่งที่ดีๆ ไว้ ท่านอยากให้คนไทยรู้จักศีลธรรม และปฏิบัติตนเป็นคนดี และยังมีอีกหลายสิ่งที่จะต้องทำเพื่อพุทธศาสนาอีกมากมาย ท่านเลยอยากจะขออยู่อย่างน้อยให้อายุครบ ๑๐๐ ปี”

สำหรับพระอุโบสถทรงไทยประยุกต์กลางน้ำ ซึ่งเป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่สองชั้นนั้น ท่านมีความตั้งใจที่จะให้เป็นสถานที่อันเป็นที่ศึกษาเรียนรู้ของผู้สนใจใน หลักธรรมะ ซึ่งพระอุโบสถกลางน้ำแห่งนี้มีมูลค่ากว่า ๑๔๐ ล้านบาท สร้างขึ้นบนเนื้อที่กว่า ๑๒๐ ไร่ ติดถนนพลโยธิน ใกล้กับทางขึ้นมอเตอร์เวย์ หมู่ที่ ๕ ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่ภายในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตวังน้อย อันมีเนื้อที่รวมทั้งหมด ๒๐๐ ไร่ ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบัน ผลการก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า ๖๐ % และกำหนดแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.๒๕๕๑ ถือเป็นศาสนสถานที่หลวงพ่อปัญญาฯ ตั้งใจที่จะสร้างให้แล้วเสร็จก่อนมรณภาพ เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แต่ยังไม่แล้วเสร็จท่านก็ได้มรณภาพไปก่อน เป็นงานชิ้นสุดท้ายที่พระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่รูปนี้ ได้ตั้งปณิธานเอาไว้ แต่ด้วยเงื่อนไขของอายุ ทำให้ไม่สามารถที่จะเห็นโครงการนี้แล้วเสร็จลงได้

สำหรับรายละเอียดของการจัดสร้างพระอุโบสถกลางน้ำนั้น จะเป็นพระอุโบสถทรงไทยประยุกต์ ๒ ชั้น อยู่กลางสระน้ำใหญ่ พื้นที่ชั้นบนรองรับพระสงฆ์ได้ ๔๐๐ รูป และมีลานล้อมรอบพระอุโบสถ ส่วนชั้นล่างเป็นฐานอุโบสถ ครอบคลุมพื้นที่ลานจากส่วนบน จึงมีขนาดกว้างขวางและอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ รองรับคณะสงฆ์ได้ ๔,๐๐๐ รูป โดยได้วางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๘ และเริ่มดำเนินการก่อสร้างนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

โครงการนี้ถือเป็นความต่อเนื่องมาจากการจัดสร้างอาคาร ๙๒ ปี ปัญญานันทะ สำหรับเป็นที่พักของพระสงฆ์ได้เป็นหมู่คณะ หากเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตวังน้อย ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๔๗ ที่ผ่านมา ด้วยงบประมาณก่อสร้างกว่า ๖๐ ล้านบาท อันมีที่มาจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา


พระอุโบสถกลางน้ำที่กำลังก่อสร้าง




ภาพพระอุโบสถกลางน้ำ ถ่าย ณ วันที่ ๒๕ ก.พ. ๒๕๕๑


นายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในขณะนั้น เปิดเผยว่า การกระทรวงศึกษาธิการเตรียมประกาศยกย่องพระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ต่อ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็น บุคคลดีเด่นของโลก ซึ่งหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะเสนอได้ เพราะเป็นผู้ทำคุณูปการให้กับวงการศาสนาและการศึกษา ทั้งนี้ การจะเสนอชื่อเป็นบุคคลดีเด่นของโลกต่อองค์การยูเนสโกนั้น ผู้ที่จะถูกนำเสนอได้จะต้องมีอายุครบ ๑๐๐ ปี หรือหากเสียชีวิตไปแล้วจะต้องรอให้ครบรอบวันเกิดของบุคคลคนนั้นให้ครบ ๑๐๐ ปี และต้องทำเรื่องเสนอต่อยูเนสโกล่วงหน้า ๒ ปี ก่อนที่ผู้ที่จะถูกเสนอชื่อจะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี ดังนั้น หากจะเสนอชื่อหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ จะต้องเสนอชื่อในปี พ.ศ.๒๕๕๒ เพราะหลวงพ่อจะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี ในปี พ.ศ.๒๕๕๔

ที่มา วัดชลประทานรังสฤษฎ์

สุดเศร้า ภรรยาออกไปกรีดยางสามีโทรไปไม่รับสาย ตามไปดูพบกลายเป็นศพนอนกลางสวนยาง

ช่วงประมาณหัวรุ่งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาชัยสน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ชีพ อบต.โคกม่วง เจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง เข้าตรวจสอบบริเวณสวนยางพารา พื้นที่ ม.15 บ.เกาะทองสม ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง หลังได้รับแจ้งว่ามีคนนอนเสียชีวิต เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุ พบร่างนางอุษา ศรีทวี อายุ 30 ปี

ในสภาพสวมเสื้อยืดสีเขียวกางเกงวอมขายาว ใส่รองเท้าบู้ท และมีผ้าคาดศีรษะ ซึ่งเป็นชุดสำหรับกรีดยางนั่นเอง นอนเสียชีวิตอยู่ข้างต้นยาง เบื้องต้นไม่พบบาดแผลการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำร่างของผู้ตายไปให้แพทย์ชันสูตรเพิ่มเติมที่ รพ.เขาชัยสน ต่อไป


จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถาม นายกำธร ศรีทวี อายุ 35 ปี สามีผู้ตายและเป็นคนมาเจอเป็นคนแรก เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนก่อนเกิดเหตุ ตนเลิกงานกลับมาถึงบ้านพักประมานตี 1 ครึ่ง ได้เคาะประตูเรียกนางอุษาฯ ผู้ตาย เพื่อเปิดประตูบ้านให้ หลังจากนั้นผู้ตายก็ยังได้จัดเตรียมอาหารเพื่อให้ตนกินจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกจากบ้านเพื่อไปกรีดยาง

ซึ่งสวนยางก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาน 2 ชม.ซึ่งก็เป็นเวลาปกติ ที่ทางผู้ตายใช้เวลาในการกรีดยางอยู่เป็นประจำในทุกๆวันอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงหัวรุ่งประมานตี 4 เศษๆ ลูกคนเล็กได้ตื่นนอนและร้องไห้

ตนจึงโทรหาผู้ตาย ประมาณ 2 ครั้ง แต่ทางผู้ตายไม่รับสายโทรศัพท์ ตนเห็นผิดสังเกต เพราะปกติโทรหาผู้ตายจะรับสายทุกครั้งที่โทรหากัน หลังจากนั้นตน จึงตัดสินใจขับรถ จยย. ตามมาบริเวณที่ผู้ตายกรีดยางอยู่ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้ตาย ซึ่งเป็นภรรยา นอนอยู่ข้างต้นยาง

รีบเข้าไปดูพบว่าภรรยาไม่หายใจแล้ว จึงรีบโทรประสานแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าผู้ตายน่าจะเป็นลมหมดสติ จนทำให้เสียชีวิตดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามต้องรอผลตรวจชันสูตรสาเหตุการตายจากแพทย์โดยระเอียดอีกครั้งหนึ่ง


และจากการสอบถามน้องสาวและลูกสาวของผู้ตาย เพิ่มเติมทราบว่า ผู้ตายไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด แต่มีประวัติเป็นโรคประจำตัว คือ โรคโลหิตจางเพียงเท่านั้น คาดว่าน่าจะอ่อนเพลีย จนเป็นลมหมดสติและเสียชีวิต อีกอย่างเป็นช่วงที่ออกมากรีดยางจนไม่มีใครเห็นและช่วยเหลือได้ทัน.