ตำรวจรวบกลุ่มวัยรุ่นนักเลงชนไก่ ได้พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 6 หมื่นเม็ด

พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ จงหวัง ผู้กำกับการสืบสวน3 กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 9 และ พ.ต.อ.ยศวรรธ์ กระจ่างวงศ์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในชุดปฏิบัติการ กองกำกับการสืบสวน3 กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธร ภาค 9 และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง เข้าจับกุมสาวทอมพร้อมแฟนสาว ขณะมารอรับยาบ้ากว่า 6 หมื่นเม็ด ก่อนขยายผลจับกุมวัยรุ่นนักเลงชนไก่ได้เพิ่มอีก 3 ราย ส่วนตัวการใหญ่ไหวตัวทัน หลบหนีไปได้


ผลการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก มีการสืบสวนหาข่าวในพื้นที่ จนกระทั่งทราบว่าจะมีกลุ่มวัยรุ่นนัดมารับส่งยาบ้า โดยมีการขนส่งผ่านบริษัทบรรทุกขนส่ง เพื่อเลี่ยงการตรวจค้นตบตาเจ้าหน้าที่ สุดท้ายก็ถูกเจ้าหน้าที่ตามรวบได้ขณะมารอรับของที่บริษัทขนส่งแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.เขาเจียก ได้ผู้ต้องหา 2 ราย คือสาวทอม อายุ 22ปี พร้อมแฟนสาวอายุ 17ปี ได้พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 6 หมื่น 6 พันเม็ด ที่บรรจุหีบห่อไว้เรียบร้อย ด้านในห่อพบเป็นลำโพงขนาดใหญ่ ด้านในซุกซ่อนยาบ้าเต็มลำโพง


หลังจากนั้นก็ได้ควบคุมตัวสาวทอมพร้อมแฟนสาว มาสอบสวนเพิ่มเติม จนยอมรับสารภาพว่า ตนและแฟนสาวทำหน้าที่รับจ้างมารับของให้เท่านั้น แลกกับเงินค่าจ้างครั้งละ 4,000 ถึง 7,000 บาท ทำมาแล้วจำนวน 4 ครั้ง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงวางแผนขยายผลจับกุม เจ้าของยาบ้าล็อตดังกล่าว จนสามารถรวบวัยรุ่นซึ่งเป็นนักเลงชนไก่ในพื้นที่ ต.ชัยบุรีได้เพิ่มอีก 3 ราย เป็นชายวัยรุ่นอายุ 17ปี และอายุ 19ปี ขณะขับรถ จยย.เพื่อมารับของ และให้การซัดทอดว่ายาบ้าดังกล่าว เป็นของ นายเลี๊ยก หรือ นายกิตติภณ สามสังข์ อายุ 24ปี เจ้าของค่ายไก่ชนเพชรฮัศวิน บ่อนไก่ชนชื่อดังในพื้นที่ ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่ค่ายไก่ชนดังกล่าว นายเลี๊ยก หรือ นายกิตติภณฯ ไหวตัวทัน หลบหนีไปก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่จะไปถึง พบเพียงภรรยาและลูกชายวัย 2ขวบของนายเลี๊ยก หรือ นายกิตติภณฯ เท่านั้น

ส่วนภายในค่ายไก่พบไก่ชนที่เลี้ยงไว้จำนวนมาก อีกทั้งยังมีวัยรุ่นที่ทำหน้าที่คอยเลี้ยงไก่อีกหลายคน หลังจากนั้นก็ควบคุมตัวนายตูน หรือ นายธีระวัฒน์ มีฐานะ อายุ 24 ปี 1 ในกลุ่มวัยรุ่น 3 ราย ที่ถูกนายเลี๊ยกฯ ว่าจ้างในวงเงินจำนวน 25,000 บาทเพื่อให้ไปรับยาบ้าให้ ทำมาแล้วหลายครั้ง คุมตัวไปค้นบ้านในพื้นที่ ม.4 ต.ชัยบุรี อ.เมืองพัทลุง จากการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายเพิ่มเติม จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด จำนวน 5 ราย พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 66,000 เม็ด ตู้ลำโพง 1 ตู้ รถยนต์กระบะโตโยต้าแค็ปสีบรอนซ์ ป้ายทะเบียน บธ-9188 พัทลุง จำนวน 1 คัน รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน เพื่อตรวจสอบและดำเนินตามกฎหมาย


ในส่วนของนายเลี๊ยก หรือ นายกิตติภณ สามสังข์ อายุ 24ปี เจ้าของค่ายไก่ชนเพชรฮัศวิน หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็จะเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับต่อไป.

โจรลักวัวออกอาละวาด

เมื่อช่วงเวลาประมาณ 02.30 น.ของวันที่ 27ก.ย.63 ที่ผ่านมา กำนันตำบลท่าแคได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ม.5 ต.ท่าแค อ.เมืองพัทลุง ว่ามีวัวเพศผู้ อายุราว3ปีครึ่ง ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้หายไป จำนวน 1 ตัว จากวัวที่เลี้ยงไว้ทั้งหมด 4 ตัว มีแม่วัว1ตัว และลูกวัวอีก จำนวน 2ตัว


จนกระทั่งในช่วงเช้าของวันเดียวกัน ทางเจ้าของวัว เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจประชาชนเอเชียโคกกอก ได้ออกติดตามวัวที่หายไปตลอดทั้งวัน จนในช่วงเย็นพบวัวตัวที่หายไป ถูกโจรนำมาล่ามซุกซ่อนไว้ริมป่าในพื้นที่ ม.2 ต.ท่าแค ซึ่งห่างจากจุดที่วัวหายไปประมาณ 5 กิโลเมตร


ซึ่งในเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่คาดว่าโจรที่ขโมยวัวมา น่าจะมีการล่ามไว้เพื่อรอขายต่อให้กับพ่อค้าคนกลางอีกทอดหนึ่ง และสังเกตุได้ว่าในช่วงนี้มีโจรลักวัวออกอาละวาดบ่อยครั้งทั้งในพื้นที่ รอยต่อระหว่าง อ.เขาชัยสนกับ อ.เมืองพัทลุง วัวที่หายส่วนใหญ่จะเป็นวัวพันธุ์พื้นเมืองอายุประมาณ 3 ปีขึ้นไป ราคาประมาณ 25,000 ถึง 40,000 บาทต่อตัว


และอย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ก็จะเร่งลงพื้นที่หาเบาะแส เพื่อติดตามกลุ่มโจรกลุ่มนี้ต่อไป และฝากเตือนไปยังเกษตรกรที่เลี้ยงวัวในพื้นที่ จ.พัทลุง โดยเฉพาะ อ.เมืองและ อ.เขาชัยสน ให้เพิ่มความระมัดระวังและวางมาตรการป้องกันไว้เพิ่มขึ้น เพราะเกรงจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก.

ร.ร.สาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ พร้อมเปิดการเรียนการสอน ปีการศึกษา 2564

โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณพร้อมเปิดการเรียนการสอนปีการศึกษา 2564 ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ตั้งเป้าเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำของภาคใต้ เปิดรับสมัครนักเรียนระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 และมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 เป็นโรงเรียนเฉพาะทางคุณภาพสูง มีทั้งระบบประจำหอพัก และระบบเดินทางไป-กลับ โดยเปิดรับสมัครนักเรียนชั้นปีละ 3 ห้องเรียนในปีการศึกษาแรก

แผนการก่อสร้างกลุ่มอาคารเรียน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ

รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย ชำนิ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ รักษาการแทนผู้อำนวยการโรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ เปิดเผยว่าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ สามารถเปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เข้าเรียนได้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเปิดดําเนินการที่วิทยาเขตพัทลุง เนื่องจากจังหวัดพัทลุงมีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษา และเป็นโรงเรียนสาธิตแห่งแรกของจังหวัดพัทลุง โดยจะเริ่มรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 3 ห้อง ๆ ละ 30 คน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 3 ห้อง ๆ ละ 30 คน

โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณเป็นโรงเรียนเฉพาะทางที่มีคุณภาพสูง และ เป็นโรงเรียนกึ่งประจำ ซึ่งมีทั้งระบบประจำหอพัก และ ระบบเดินทาง ไป-กลับ (ในกรณีที่นักเรียนและผู้ปกครองมีภูมิลำเนาและพักอาศัยในพื้นที่อำเภอป่าพะยอม และ สามารถเดินทางไป-กลับได้สะดวก ที่เหลือขอให้เป็นนักเรียนประจำหอพักของมหาวิทยาลัยทั้งหมด ทางโรงเรียนจะดำเนินการเติมเต็มทักษะที่สอดคล้องกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพิ่มเติม) สำหรับวิธีการรับนักเรียนเข้าเรียน ทางโรงเรียนจะพิจารณาจากการสอบคัดเลือก โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามคุณสมบัติและความสมัครใจ โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่องทางคือ 1. การแข่งขันทั่วไป 2. บุตร หลาน บุคลากรของมหาวิทยาลัยทักษิณ 3. ผู้มีอุปการคุณ

การจัดการเรียนการสอนในช่วงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 : เน้นการค้นหาหรือหาความถนัดของนักเรียนแต่ละคน แล้วดำเนินการพัฒนา โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ตามโครงสร้างหลักสูตรในรูปแบบของ Active Learning ผนวกกับการพัฒนาทักษะทางด้าน Soft Skill ประกอบด้วย : การสื่อสาร , การทำงานแบบร่วมมือกัน , การคิดวิเคราะห์ และ การคิดสร้างสรรค์ ในช่วงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 : เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ เข้าใจในตรรกะการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง

รศ.ดร.วิชัย ชำนิ เปิดเผยอีกว่า ในการจัดการศึกษาให้นักเรียนในยุคปัจจุบันต้องหาสิ่งที่จะมาพัฒนาองค์ความรู้ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของสังคมและทํางานร่วมกันในสังคมได้ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นหน่วยงานลักษณะพิเศษตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยและกํากับดูแลโดยมหาวิทยาลัยทักษิณ เน้นการพัฒนานักเรียนให้มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อเสริมสร้างกระบวนการคิดภายใต้หลักของเหตุผล เน้นทักษะการเรียนรู้ให้สนองตอบและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความสามารถทางภาษา เน้นทางเลือกสําหรับการเรียนรู้วิชาอาชีพทางวิศวกรรม ทางเทคโนโลยีการเกษตร การกีฬาตามความถนัดและความต้องการของผู้เรียน สอดคล้องกับบริบทภูมิสังคม สนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นคุณค่า อนุรักษ์ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นและพหุสังคม และบริหารจัดการสถานศึกษาให้เป็นต้นแบบการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ

ในส่วนของอาคารเรียนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ช่วงแรก มหาวิทยาลัยทักษิณ จะจัดให้นักเรียนใช้อาคารเรียนรวม 3 สำหรับห้องเรียน และห้องสำนักงาน และ ใช้ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับของนิสิตมหาวิทยาลัย และในวันที่ 11 มีนาคม 2564 สภามหาวิทยาลัยได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระกนิษฐาธิราชกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานเชิญเสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์อาคารโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ และในวันที่ 10 ตุลาคม 2563 ทางโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณจะจัดกิจกรรม Open house เพื่อให้ผู้ปกครองและนักเรียนที่สนใจเข้าร่วมชมบรรยากาศห้องเรียน ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการทางเคมี และห้องหุ่นยนต์ปฏิบัติการ ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์ ดร.สุนิสา คงประสิทธิ์ โทร. 091-0494641 อาจารย์ ดร.รังสฤษฏ์ อินทรโม โทร. 086-9899009

รมช.เกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่มอบ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกรในพื้นที่ จ.พัทลุง

เมื่อเวลา 14.00 น. ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ จ.พัทลุง บริเวณหอประชุมศาลากลาง ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อพบปะกับเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมเป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ ส.ป.ก.4-01 ให้กับเกษตรกร อ.ตะโหมด อ.ป่าบอน และ อ.ป่าพะยอมจำนวน 130 ราย เนื้อที่ประมาณ 588 ไร่


และหลังจากร้อยเอกธรรมนัสฯ ได้ทำพิธีมอบ ส.ป.ก.4-01 ให้กับเกษตรกรแล้วเสร็จ ก็มีกลุ่มตัวแทนจาก ต.หนองธง อ.ป่าบอน นำโดยนายนันต์ ชูเอียด อายุ 60 ปี ประธานศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านในกอย ต.หนองธง อ.ป่าบอน จ.พัทลุง และคณะอีก จำนวน 5 คน ร่วมยื่นหนังสือถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

เพื่อสนับสนุนให้มีการสร้างเขื่อนเหมืองตะกั่ว ซึ่งก่อนหน้านี้มีกลุ่มคนเหมืองตะกั่วเดินทางไปเรียกร้องให้ยุติการสร้างยัง ในพื้นที่ กทม.จนกระทั่งมีการเซ็นชะลอ และมีการตั้งคณะกรรมการศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาของโครงการเหมืองตะกั่ว และพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และนำเสนอให้ รมต.เกษตรฯ ทราบภายในระยะเวลา 60 วัน.

ชาวพัทลุงออกมาจับจ่ายซื้อขนมเดือนสิบเพื่อทำบุญวันสารทเดือนสิบ คึกคัก

บรรยากาศจับจ่ายก่อนวันสารทคึกคัก ชาวพัทลุงออกมาจับจ่ายซื้อขนมเดือนสิบเพื่อทำบุญวันสารทเดือนสิบตามประเพณีชาวใต้ในวันพรุ่งนี้


ช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่บริเวณตลาดสดเทศบาลเมืองพัทลุง ประชาชน ทยอยเดินทางออกมาเลือกซื้อขนมเดือนสิบ กันอย่างเนืองแน่น เพื่อเตรียมไว้สำหรับนำไปทำบุญที่วัดในวันพรุ่งนี้ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองกับครอบครัวในช่วงประเพณีวันสารทเดือนสิบ หรือเรียกว่าการทำบุญวันส่งตายาย หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า การทำบุญหลังส่งตายาย


สำหรับราคาขนม ไม่ว่าจะเป็นขนมเทียน ขนมลา ขนมพอง ขนมเบซัม ขนมบ้า ราคายังคงเดิมเหมือนปีที่ผ่านมา แม้ว่าวัตถุดิบที่นำมาทำขนมจะปรับราคาสูงขึ้นก็ตาม โดยขนมลาแผ่น กิโลกรัมละ 220 บาท แบ่งขายเป็นพับๆ ละ 50 บาท ขนมเบซัม ขนมบ้า ขนมเทียน ชิ้นละ 2 บาท และขนมลายอดราคาชิ้นละ 10 บาท


นางนันทา นินสุวรรณ อายุ 70 ปี แม่ค้าขายขนมเดือนสิบที่ตลาดสดเทศบาล กล่าวว่า ปีนี้มีประชาชนชาวจังหวัดพัทลุงออกมาซื้อขนมเดือนสิบเป็นจำนวนมาก และราคาของขนมเดือนสิบปีนี้ยังไม่ปรับราคายังขายในราคาเดิมของปีที่แล้ว แม้ปีนี้ราคาข้าวเหนียวขยับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งขนมเดือนสิบส่วนใหญ่ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวและวัตถุดิบอื่นก็ปรับราคาเช่นกัน ขนมที่จะต้องใช้ในเดือนสิบ แม่ค้าก็จะจัดแบ่งขายเป็นถุงๆ ไว้ด้วย รวมทั้งขนมพอง ขนมลา ซึ่งจะขายถุงละ 30 – 35 บาท เพื่อให้ประชาชนได้เลือกซื้อตามความต้องการ


ในขณะที่ความหมายของขนมเดือนสิบ ไม่ว่าจะเป็น “ขนมลา” ซึ่งมีความหมายใช้แทนเสื้อผ้าที่อุทิศให้เปรตชน หรือบางท่านเชื่อว่าเส้นของลาเล็ก ๆ ทำเปรตกินได้ เพราะเชื่อว่าเปรตมีปากเล็กเท่ารูเข็ม “ขนมพอง” มีความหมายใช้แทนเป็นเครื่องประดับมีสีสันสวยงาม “ขนมเบซัม หรือขนมเจาะหู “มีความหมายใช้แทนเงินทอง เพราะมีลักษณะกลมเจาะรูตรงลางคล้ายกับเงินสตางค์ที่มีรูตรงกลาง ซึ่งใช้กันในสมัยก่อน “ขนมบ้า” มีความหมายใช้แทนเงินเหรียญเพราะมีลักษณะเป็นแผ่นกลมคล้ายเหรียญ และ “ขนมเทียน” มีความหมายใช้แทนหมอน


สำหรับประเพณีวันสารทไทย หรือวันสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งการทำบุญในเดือนสิบ ก็จะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันบุญแรก หรือวันรับตายาย ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 3 กันยายน 2563ที่ผ่านมา และวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นบุญหลัง หรือวันส่งตายาย ซึ่งตรงกับวันที่ 17 กันยายน 2563 ตามความเชื่อทางพุทธศาสนาถือว่าพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ต้องตกนรก หรือเรียกว่าเปรตนั้น จะได้รับอนุญาตให้มาพบกับญาติของตนในเมืองมนุษย์ได้ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 และกลับไปสู่นรกดังเดิม ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ดังนั้น จึงมีการทำบุญใน 2 ช่วง ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะนิยมทำบุญกันในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 หรือวันส่งตายาย เพราะมีความสำคัญมากกว่า แต่ก็จะมีบางครอบครัวจะทำบุญทั้งวันบุญแรกและวันบุญหลัง.

ภาพข่าว #ที่นี่พัทลุง

หนุ่มหึงโหดใช้จอบทุบหัวแฟนสาวดับ ก่อนนำร่างขังกรงหมูอำพรางศพ

เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาขยาด พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง เจ้าหน้าที่ ตชด.ที่ 434 พัทลุง เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยนาขยาด และแพทย์เวรโรงพยาบาลควนขนุน เข้าตรวจสอบหลังได้รับแจ้งว่าพบคนนอนเสียชีวิตอยู่ในกรงหมู ในพื้นที่ บ้านขันหมู่ ต.นาขยาด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบร่างของ นางสาวกชกร ทองดีเพ็ง อายุ 23 ปี ในสภาพสวมชุดนอน นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตอยู่ในกรงหมู ศพเริ่มแข็งและมีมดแดงเริ่มตอมตามตัว คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 9 ชั่วโมง


จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า บนกรงหมูที่พบศพผู้ตายมีเสื้อผ้าของผู้ตายบางส่วนตกอยู่ด้วย สภาพศพถูกทุบหลายแห่ง จนหน้าผากยุบ เบ้าตาด้านซ้ายโบ๋ และศีรษะด้านหลังแตก


และจากการสอบถามชาวบ้านใกล้ที่เกิดเหตุ ทราบว่า ผู้ตายคือแฟนสาวของนาย นัฐพร ดำสินธุ์ อายุ 20ปี ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายได้เดินทางมาหาแฟนหนุ่มที่บ้านในจุดเกิดเหตุในช่วงค่ำ หลังจากนั้นไม่นานได้ยินเสียงผู้ตายกับแฟนหนุ่มทะเลาะมีปากเสียงกัน แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เนื่องจากผู้ตายกับแฟนหนุ่มมักทะเลาะกันบ่อยครั้ง จนกระทั่งมีคนมาพบร่างผู้ตายนอนอยู่ในกรงหมูในช่วงสายวันนี้ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ


และจากการสอบสวนนาย นัฐพร แฟนหนุ่มของผู้ตายเบื้องต้นเจ้าตัวให้การปฏิเสธ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของ นางสาวกชกรฯ แต่อย่างใด แต่เมื่อถูกเจ้าหน้าที่สอบเค้นนานร่วมชั่วโมง ก็ยอมรับสารภาพว่าตนเป็นคนลงมือฆ่าผู้ตาย เนื่องจากผู้ตายต้องการตีจาก แต่ตนไม่ยอมเลยทะเลาะกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งตนขาดสติใช้จอบทุบหัวผู้ตายจนสลบไป หลังจากนั้นก็ลากผู้ตายมาใส่กรงหมู ก่อนนำผ้าของผู้ตายมาวางไว้ที่กรงหมูด้วย ก่อนที่จะไปหาฟางมาจุดไฟเผากองเลือดและขุดดินมากลบรอยเลือด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวนาย นัฐพรฯ ผู้ต้องหาซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของผู้ตายไปชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ก่อนควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


และจากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่เพิ่มเติม เล่าว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาตรวจสอบในจุดดังกล่าว ทางด้าน นาย นัฐพรฯ ผู้ต้องหา หลังจากก่อเหตุแล้ว ก็ไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด ยังคงวนเวียนเฝ้าศพ นำเสื้อผ้าของผู้ตายมาวางไว้ที่ศพ อีกทั้งยังเอ่ยปากให้เพื่อนบ้านพาไปรดน้ำมนต์ที่วัดอีกด้วย.

ตำรวจตามรวบไอ้น้อย ผู้ต้องหาคดีฆ่าเสี่ยเอ็มบางหมาก ขณะหนีกบดานในพื้นที่ จ.พัทลุง

พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผกก.สส.ภ.จว.พัทลุง พร้อมด้วยกำลังชุดปฏิบัติการ การข่าวและความมั่นคง กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชปข.ร้อย ตชด.434 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองชุมพร และชุดวิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.ภ.๘ สนธิกำลังร่วมกันตามรวบ นายพิชัย หรือ น้อย งอกงาม อายุ 44ปี ชาว จ.ชุมพร ผู้ต้องหาคดีฆ่าฯ ขณะหลบหนีมากบดานอยู่กับครอบครัวในพื้นที่ จ.พัทลุง

หลังจากก่อเหตุยิงนายวัชรินทร์ นครพัฒน์ หรือเสี่ยเอ็มบางหมาก อายุ39 ปีเสียชีวิต เมื่อ 5 ก.ย.63 เหตุเกิดที่บ้านเลขที่ 32/2 ม.4 ต.บางหมาก อ.เมือง จ.ชุมพร เจ้าหน้าที่สามารถตามรวบไอ้น้อยได้คาขนำไม่มีเลขที่ บ้านเขาย่าออก ม.4 ต.เขาย่า อ.ศรีบรรพต จ.พัทลุง


ผลการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากได้รับการประสานจากตำรวจชุดสืบภาค 8 หลังสืบสวนติดตามจนทราบว่านายพิชัยฯ ผู้ต้องหา หลบหนีมากบดานอยู่ในพื้นที่ จ.พัทลุง และขณะเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม ก็ได้แสดงหมายจับให้ผู้ต้องหารับทราบ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ชุมพร ก็ได้รวบตัวผู้จ้างวานจนมีการซัดทอดว่า นายพิชัยฯ ผู้ต้องหา ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนลั่นไกสังหารเอง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามสืบสวนจนกระทั่งทราบว่าผู้ต้องหาหนีมากบดานอยู่ในพื้นที่ จ.พัทลุง และมีรวบตัวได้ดังกล่าวก่อนควบคุมตัวไปค้นบ้านพักในพื้นที่ อ.ควนขนุนต่อไป


หลังจากการตรวจค้นบ้านพัก ในพื้นที่ ม.5 ต.นาขยาด อ.ควนขนุน เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดรถยนต์เก๋งฮอนด้า สีเทา ป้ายทะเบียน กข-9149 ชุมพร ซึ่งทราบว่าเป็นรถยนต์คันที่ผู้ต้องหาใช้นำไปก่อเหตุด้วย ก่อนควบคุมตัวนายพิชัยฯ ผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชุมพร เพื่อดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต,ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ

โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์,บุกรุกเคหะสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธปืนและยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านหรือที่ชุมชน

เริ่มแล้ว….งานสมโภชพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ และงานกาชาดประจำปีของดีเมืองลุง

พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดงานสมโภชพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ และงานกาชาดประจำปีของดีเมืองลุง ประจำปี 2563 โดยเริ่มกิจกรรมในวันนี้ ด้วยขบวนแห่ของดีเมืองลุงจาก 11 อำเภออย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งจัดอย่างสวยงาม หลากหลายสีสัน และวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์ประเพณีของแต่ละท้องถิ่น สร้างความประทับใจแก่ ผู้ร่วมชมงานเป็นอย่างยิ่ง


จากนั้น พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้เป็นประธานเปิดงาน ณ เวทีกลาง และร่วมตักนาวากาชาด โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง นางมะลิ วงศ์กระพันธุ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพัทลุง นายวิรัตน์ รักพันธ์, นายศิลป์ชัย รามณีย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมในพิธีเปิด


ทั้งนี้ตามที่จังหวัดพัทลุง โดยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนชาวจังหวัดพัทลุง ได้กำหนดจัดงานสมโภชพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ และงานกาชาดประจำปีของดีเมืองลุง ประจำปี 2563 ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม – 6 กันยายนนี้ ณ บริเวณโดยรอบศาลากลางจังหวัดพัทลุง เพื่อรวมน้ำใจของประชาชนในการสนับสนุนกิจการของกาชาด ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณะกุศล มีบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ และส่งเสริมคุณภาพชีวิต แก่ประชาชนผู้ประสบภัย ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้ได้รับโอกาสในการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมทั้งเพื่อฉลองสมโภชพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือพระสี่มุมเมือง ศูนย์รวมจิตใจของชาวพัทลุง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช บรมนาถบพิตร รัชการที่ 9 ได้พระราชทานให้จัดสร้างและประดิษฐานเป็นพระประจำทิศใต้ ณ จังหวัดพัทลุง รวมทั้งเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและประชาสัมพันธ์สิ่งดีงามอันทรงคุณค่าของจังหวัดพัทลุง ให้เป็นที่รู้จักของสาธารณชนและนักท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง


สำหรับกิจกรรมปีนี้ นอกจากมีขบวนแห่ของดีจากอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดพัทลุงแล้ว ยังมีพิธีสมโภชองค์พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ การเทศน์มหาชาติ นิทรรศการของส่วนราชการต่าง ๆ การแสดงศิลปวัฒนธรรม การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งประชารัฐ การออกร้านนาวากาชาด การแสดงของเยาวชน การแสดงของศิลปินดารา คาราวานสินค้าราคาประหยัด สิ้นค้าโอท็อป และมหรสพต่างๆ มากมาย.

องคมนตรี ลงพื้นที่ติดตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพัทลุง

พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคใต้ และพลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี รองประธานอนุกรรมการฯ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการฯ ได้เดินทางติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาด้านแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในเขตพื้นที่การสร้างเขื่อนเหมืองตะกั่ว ในพื้นที่ ต.หนองธง อ.ป่าบอน จ.พัทลุง


โดยช่วงเช้า เดินทางไปยังวัดหลักสิบ ต.หนองธง อ.ป่าบอน เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำ หรือเขื่อนเหมืองตะกั่วอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้องคมนตรีและคณะได้ร่วมกันหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โอกาสนี้ได้พบปะเยี่ยมราษฎร จากนั้นเดินทางตรวจดูสภาพพื้นที่
โดยโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือเขื่อนเหมืองตะกั่วฯ เป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2548 ตามที่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองธง ขอพระราชทานพระมหากรุณาในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่ว เพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ ต.หนองธง จำนวน 9 หมู่บ้าน ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ

สำหรับทำการเกษตร ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านเหมืองตะกั่วฯ ขนาดความจุที่ระดับเก็บกัก 10,140,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะสร้างประโยชน์แก่ราษฎรทั้ง 9 หมู่บ้าน ในเขต ต.หนองธง และตำบลใกล้เคียง ประมาณ 1,600 ครัวเรือน 7,700 คน มีน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค และเป็นแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อการเพาะปลูกเสริมในช่วงฝนทิ้งช่วงให้กับพื้นที่ชลประทานของระบบส่งน้ำของโครงการฝายคลองท่ายูง ตำบลหนองธง อำเภอป่าบอน และโครงการฝายบ้านใหม่ ตำบลคลองใหญ่ อำเภอตะโหมด ซึ่งมีพื้นที่ชลประทานรวม 7,500 ไร่ นอกจากนี้ยังช่วยผันน้ำเติมให้กับแหล่งเก็บน้ำคลองตออีกด้วย


จากนั้นในช่วงบ่าย องคมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังโครงการอ่างเก็บน้ำป่าบอนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงห่วงใยชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของราษฎร เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2520 โดยเครื่องบินและทอดพระเนตรสภาพพื้นที่ จึงให้กรมชลประทานพิจารณาวางโครงการอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบส่งน้ำ เพื่อสร้างประโยชน์ในการส่งน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูกบริเวณเทือกเขาบรรทัดและเก็บกักน้ำไว้ช่วยเหลือการเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง รวมทั้งการทำนาครั้งที่ 2 ในเขตโครงการชลประทานชายทะเลสาบสงขลา นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอุทกภัยให้กับพื้นที่บริเวณดังกล่าวด้วย โครงการอ่างเก็บน้ำป่าบอนฯ ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2543 มีขนาดความจุที่ระดับกักเก็บน้ำ 20.00 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถส่งน้ำเติมเข้าระบบโครงการฝายป่าบอน ให้กับพื้นที่ทำการเกษตร จำนวน 6,799 ไร่ ส่งน้ำเข้าระบบประตูระบายน้ำคลองป่าบอน ให้กับพื้นที่ทำการเกษตร จำนวน 12,350 ไร่ และในเขตอำเภอป่าบอน อำเภอปากพะยูน รวม 2 อำเภอ 12 ตำบล

นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้งกลุ่มบริหารการใช้น้ำ จำนวน 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มบริหารการใช้น้ำประตูระบายน้ำป่าบอน มีสมาชิก จำนวน 313 ราย กลุ่มบริหารการใช้น้ำประตูระบายน้ำหารอ่างทอง มีสมาชิก จำนวน 115 ราย กลุ่มบริหารการใช้น้ำบ้านทุ่งนารี มีสมาชิก จำนวน 341 ราย และกลุ่มบริหารการใช้น้ำบ้านพรุโอน มีสมาชิก จำนวน 84 ราย โดยในปี 2563 มีแผนการปรับปรุงอาคารบังคับน้ำและอาคารประกอบของโครงการอ่างเก็บน้ำคลองป่าบอนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินงาน อีกทั้งยังมีการดำเนินงานซ่อมแซมการกัดเซาะคันคลองระบายน้ำ ฝายป่าบอน หินก่อ ดำเนินการปรับปรุงเกียรติมอเตอร์เครื่องกว้านบานระบายประตูระบายน้ำคลองป่าบอน จำนวน 2 ช่อง พร้อมอาคารประกอบ ดำเนินการป้องกันการกัดเซาะคลองระบายน้ำ ร.1 หินก่อ และด้านท้ายฝายป่าบอนหินก่อ รวมถึงการปรับปรุงโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านสายกลางพร้อมระบบท่อส่งน้ำ เพื่อให้ราษฎรมีน้ำใช้ในการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตรได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น จำนวน 650 ไร่ มีปริมาณน้ำเพื่อใช้บริโภค 50,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน โอกาสนี้องคมนตรี และคณะฯ ได้ปลูกต้นไม้ และพบปะเยี่ยมราษฎร ซึ่งต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับครั้งนี้ที่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงยั่งยืนตลอดมา.

กลุ่มตัวแทนคณะก้าวหน้า จ.พัทลุง ร่วมประชุมเสวนา ผลักดันปลดล็อกระบบผูกขาด พรบ.สุราก้าวหน้าเปิดโอกาสการผลิตสุราในชุมชน เพราะมันคือภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ใช่แค่น้ำเมา

ี้กลุ่มตัวแทนคณะก้าวหน้า จ.พัทลุง นำโดย นายพา ผอมขำ นายไพฑูรย์ ทองสม นส.อลิสา บินดุส๊ะ ได้ร่วมเปิดเวทีเสวนาสุราก้าวหน้า ที่ห้องประชุมสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนภาคใต้ ในพื้นที่ ต.ตำนาน อ.เมืองพัทลุง มีผู้เข้าร่วมเกือบ 20 คน โดยเนื้อหาสาระในที่ประชุมมีการพูดคุยกันเรื่องระบบเศรษฐกิจแบบผูกขาด และการผลักดันธุรกิจผลิตสุราได้อย่างเสรีและถูกกฎหมาย ซึ่งก็เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เคยมีการนำเสนอร่าง พรบ.สุราก้าวหน้า ต่อประธานรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 พ.ค.2563 ที่ผ่านมาโดย ส.ส.คนหนึ่งของพรรคก้าวไกล หลังจากนั้นก็ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เรื่อยมา


ซึ่งร่างกฎหมาย “สุราก้าวหน้า” ตัวนี้ได้มีประเด็นหลักอยู่ 3 ประเด็นด้วยกัน คือ แก้ไขมาตรา 153 ของ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ห้ามกำหนดเกณฑ์ กำหนดกำลังการผลิต จำนวนคนงาน เงินทุน ปลดล็อก มุ่งทลายเศรษฐกิจผูกขาด เปิดโอกาสชุมชนแข่งขัน เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เพราะพวกเขาถือว่าเป็นวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ของคนแต่ก่อนที่มีต่อยอดมาเป็นสุราชุมชนในปัจจุบัน
นส.อลิสา บินดุส๊ะ ผู้ประสานงานเครือข่ายพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง คณะก้าวหน้า กล่าวว่า โอกาสที่คนทั่วไปจะเข้าสู่การสร้างผลิตภัณฑ์สุรานั้นต้องผ่านเงื่อนไขมากมายจนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดรายย่อยที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาของตัวเอง ไม่มีโอกาสทดลองทำสุราที่บ้านหรือลองลงทุนเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ดังนั้นจึงต้องมี

  1. การเพิ่มคำว่า “การค้า” เข้าไปในร่างกฎหมาย ก็เพื่อปลดล็อคการผลิตสุรา แต่เดิมการผลิตสุราทุกชนิดทุกประเภท จำเป็นจะต้องมีการขออนุญาตหมด แต่ต่อไปนี้ หากไม่ได้ผลิตสุราเพื่อการค้า ก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตแล้ว หากเป็นการผลิตสุราตามประเพณีหรือเพื่อบริโภคเองก็จะสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
  2. กฎกระทรวงในอดีตเคยกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆไว้มากมาย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการรายย่อยเป็นอย่างมาก เช่น เกณฑ์ขั้นต่ำในการผลิต เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีทุนที่จะจัดหาเครื่องจักรขนาดใหญ่ได้ หรือเกณฑ์ของสุราชุมชน ซึ่งเป็นใบอนุญาตประเภทหนึ่ง ก็มีการจำกัดแรงม้าโดยรวมไว้อีก ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาไม่สามารถคุมคุณภาพได้ดีเท่าที่ควร รวมทั้งยังมีการห้ามปรุงแต่งสุรา ซึ่งส่งผลเสียต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก เราไม่สามารถปรุงแต่ง สี กลิ่น และรสชาติให้กับสุราได้การที่เพิ่มกำหนดลงไปใน พ.ร.บ. ว่าห้ามมีการตั้งข้อกำหนดต่างๆจำพวกนี้ ก็จะก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น เพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์จากเดิมได้เป็นอย่างมาก
    ปัจจุบันสุราไทยเองก็มีหลายตัวที่ไปคว้ารางวัลจากการประกวดในต่างประเทศมาได้ แต่สุราพวกนี้ก็เหมือนกันหมดคือเป็นได้แค่สุราขาว ขาดความหลากหลาย ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
    ทั้งนี้ อยากย้ำเตือนว่า หากผู้ใดประสงค์จะผลิตสุราเชิงพาณิชย์ ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเดิมที่มีอยู่แล้ว มีความเข้มข้นเหมือนเดิม ที่ต้องกวดขันเพราะว่าการผลิตสุราเพื่อจำหน่ายนั้น ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสุขภาพของประชาชน
    และจากสถิติตัวเลขในประเทศขณะนี้ มีเหล้ากลั่นราว 2,000 โรง เหล้าแช่ 2,000 โรง และคราฟต์เบียร์ 70 ยี่ห้อ เราไม่ได้มองว่าเป็นแค่น้ำเมา แต่มองไปถึงความเป็นวัฒนธรรม เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ สูญความลับทางการค้า รวมไปถึงด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านเภสัชวิทยา มาตรฐานคุณภาพ กระบวนการหมัก ต้ม กลั่น การจัดเก็บ เชื่อมโยงไปยังเรื่องของเศรษฐกิจ ทั้งพืชที่ได้ประโยชน์ ผลลัพธ์เศรษฐกิจ ทรัพย์สินทางปัญญา ภาษีควบคุม และภาษีก้าวหน้า.