รวบหนุ่มวัย 23 ปี ค้ายาบ้า อ้างหาเงินรักษาแม่ที่ป่วยเป็นโรคร้าย


พ.ต.ท.ถาวร ทิพวารี สวป.สภ.บางแก้ว พร้อมด้วย ร.ต.อ.ประเสริฐ วัตน์หนู รอง สว.สส.สภ.บางแก้ว นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจงานป้องกันและปราบปราม สภ.บางแก้ว วางแผนเข้าจับกุมนักค้ายาเสพติด ในพื้นที่ ม.1 ต.ท่ามะเดื่อ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ 2 รายพร้อมของกลางยาเสพติดจำนวนหนึ่ง


ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นภายในบ้านหลังดังกล่าว พบหญิงสาววัยประมาณ 44 ปี ซึ่งรับว่าเป็นเจ้าของบ้าน และจากการตรวจค้นพบยาเสพติดชนิดไอซ์ จำนวน 6 ถุง น้ำหนักรวมถุงบรรจุ 3.249 กรัม ยาบ้า จำนวน 46 เม็ด มีการแบ่งบรรจุขายปลีกแบบ 1 เม็ด 2 เม็ด และ 4เม็ด ก่อนนำไปขายให้ลูกค้าในราคาเม็ดละ 50บาท นอกจากนี้ก็ยังพบอุปกรณ์การเสพยาเสพติด ถุงพลาสติกใสสำหรับใส่ยาเสพติดเพื่อแบ่งขายให้ลูกค้า เงินสด ที่ได้มาจากการซื้อขายยาเสพติดอีกจำนวนหนึ่ง และโทรศัพท์มือถือที่คาดว่าใช้ในการติดต่อซื้อขายยาเสพติดกัน จำนวน 1 เครื่อง ก่อนตรวจยึดของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน


ใกล้กันกับบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งพบเป็นส่วนที่ต่อเติมมาจากบ้านหลังแรก พบนายวิชัยรัตน์ พลเจริญ อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นหลานของสาววัย 44ปี จากการตรวจค้นพบของกลางเป็นน้ำต้มพืชกระท่อม ใบพืชกระท่อมสด ยาแก้ไอ หม้อสำหรับต้มน้ำพืชกระท่อม เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป


หลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวสาววัย 44 ปีเจ้าของบ้านที่พบยาเสพติด และหลานชายที่แอบลักลอบขายน้ำต้มพืชกระท่อม ไปยัง สภ.บางแก้ว ก็ได้สอบสวนหญิงสาววัย 44 ปี เพิ่มเติมก่อนยอมรับว่าของกลางยาเสพติดที่พบนั้นเป็นของลูกชาย คือนายสรวิศ ศรีรัตนา อายุ 23 ปี เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานจนนายสรวิศ ฯ เข้ารับทราบข้อกล่าวหา และยอมรับว่ายาเสพติดทั้งหมดเป็นของตนเองจริง โดยอ้างว่าที่ต้องหันมาค้ายาเสพติด เพราะต้องการนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว และแม่วัย 44 ปีที่กำลังป่วยด้วยโรคร้าย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว นายสรวิศฯผู้ต้องหา พร้อมของกลางทั้งหมด เพื่อส่งดำเนินคดีในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมตแอมเฟตามีน ยาบ้าและไอซ์ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และ เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมตแอมเฟตามีน โดยผิดกฎหมายต่อไป.

พนักงานขายนมเปรี้ยววัย 47 ปี ถูกรถยนต์กระบะชนเสียชีวิต ขณะจอดรถให้ลูกค้าซื้อนมข้างทาง

ช่วงเวลาประมาณ 13.00น.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลำปำ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง เร่งลงพื้นที่ริมถนนอภัยบริรักษ์ สายลำปำ-พัทลุง หลังได้รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถชน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะอีซูซุดีแม๊ค 4 ประตูสีดำ ป้ายทะเบียน กต-5107 พัทลุง ในสภาพด้านหน้าพังเสียหายทั้งหมด ส่วนคนขับรถยนต์คันดังกล่าวได้รับบาดเจ็บที่บริเวณปากและเจ็บหน้าอก ยังอยู่ในอาการตกใจ ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ล้มเสียหายจำนวนหลายคัน และบนถนนพบขวดนมเปรี้ยวยี่ห้อหนึ่งตกเกลื่อนเต็มพื้นถนน ห่างออกไปประมาณ 20 เมตร

พบรถยนต์เก๋งฮอนด้าซิตี้ ขง-9239สงขลา ที่จอดอยู่ริมถนน อยู่ในสภาพด้านหลังพังเสียหายด้วยอีกคัน ใกล้กันยังพบร่างของนางสมพิษ ชูโชติ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 127 ม.2 ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง นอนเสียชีวิตอยู่ใกล้กับรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลพัทลุงไปก่อนหน้านี้


นางสาวศศิรัศมิ์ สองแก้ว เจ้าของรถยนต์เก๋งที่จอดอยู่ในที่เกิดเหตุและพังเสียหายด้วย เล่าให้ฟังว่า ตนได้ออกจากบ้านพักมาแวะซื้อของที่ร้านขายของชำในจุดเกิดเหตุ ระหว่างที่ตนยืนซื้อของอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น ตนก็ตกใจหันไปดูก็พบว่ารถของตัวเองถูกชนเสียหาย แล้วก็พบว่ามีคนนอนเจ็บและเสียชีวิตตนก็ตกใจ ไม่กล้าเดินไปดู จนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้ามาในที่เกิดเหตุ


ทางด้านชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นตนนั่งกินข้าวเที่ยงอยู่หน้าบ้าน ก็เห็นน้องสาวของตน ซึ่งเป็น1 ในผู้บาดเจ็บ กำลังยืนซื้อนมเปรี้ยวอยู่ จู่ๆก็มีรถยนต์กระบะขับมาด้วยความเร็ว เสียหลักชนกับรถจักรยานยนต์พ่วงข้างของผู้ตาย จนลังที่ใส่นมกระเด็น กระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้นถนน และรถยนต์คันดังกล่าวยังเสียหลักไปชนบ้านเรือนชาวบ้าน และรถที่จอดอยู่ในละแวกนั้นพังเสียหายไปอีกหลายคันอีกด้วย


ส่วนสาเหตุ ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะสอบสวนคนขับอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนแจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีกับคนขับรถยนต์กระบะตามกฎหมายต่อไป.

ชาวบ้านฮือฮา พ่อท่านขับ หลังลูกศิษย์ทำพิธีพระราชทานเพลิงศพ แต่ไฟไม่ไหม้ร่างแม้แต่น้อย

หลังจากเป็นข่าวโด่งดังในโลกโซเชียล เกี่ยวกับการทำพิธีพระราชทานเพลิงศพพ่อท่านขับ ที่เมรุจำลองชั่วคราววัดอัมพะวัน ( บางขวนเหนือ ) ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง แต่ปรากฎว่าไฟไม่ไหม้ร่างของพ่อท่านขับเลยแม้แต่น้อย ขนาดจีวร ดอกไม้จันท์ก็ยังไม่ติดไฟ ทำให้เหล่าบรรดาเซียนพระที่ทราบข่าว ต่างหาเหรียญ ผ้ายันต์ของพ่อท่านขับเพื่อเช่าบูชา สร้างมูลค่าเพียงชั่วข้ามคืน

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 25 มกราคม 64 เวลา 20.09 น.ที่ผ่านมา ที่เมรุจำลองชั่วคราววัดอัมพะวัน ( บางขวนเหนือ ) ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพของเกจิอาจารย์ดังสายใต้ พระครูขันติคุณากร (ขับ ขันติโก ) อดีตเจ้าคณะตำบลฝาละมี อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพะวัน (บางขวนเหนือ ) ซึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คือหลังจากเสร็จพิธีกรรมทางศาสนา ได้มีการบูชาเพลิงแต่เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่า ไฟยังไม่ไหม้สรีระร่างของพ่อท่านขับ ทำเอาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดต้องตั้งจิตภาวนาบอกพ่อท่านว่า “ผู้ที่มาร่วมงานบรรดาลูกศิษย์ได้เห็นอิทธิฤทธิ์บารมีปาฎิหาริย์ของพ่อท่านแล้วขอให้พ่อท่านสละสรีระได้แล้ว” หลังจากลูกศิษย์ตั้งจิตอธิษฐานบอกพ่อท่านเสร็จไม่นานไฟก็ได้ลุกโชนไหม้สรีระของพ่อท่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ สร้างความมหัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น และมีการไลฟ์สด ผู้คนเข้าติดตามชมเป็นจำนวนมาก

นายชินวัตร ปิ่นมี อายุ23ปี ลูกศิษย์ผู้รับใช้พ่อท่านขับ มายาวนาน ได้เล่าให้ฟังว่าพ่อท่านขับเป็นอาจารย์ที่มีความเมตตาสูงเป็นที่เคารพของชาวบ้าน เป็นพระที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบมาตลอด มีวิชาอาคมเก่งกล้า และมีวิชาความรู้เรื่องแพทย์แผนโบราณเกี่ยวกับหมอกระดูกรักษาผู้ป่วยแขน-ขาหักหายจนเป็นที่เลื่องลือผู้คนทั่วสารทิศได้เดินทางมารักษากับพ่อท่านอย่างไม่ขาดสายท่านจะให้ความเมตตากับทุกๆคน

ด้านนายอนวัช ชูชุม อายุ25ปี ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และเป็นคนไลฟ์สด บอกว่าที่ได้ไลฟ์สดเพราะ มีเสียงจากเจ้าของเมรุจำลองขั่วคราวได้ตะโกนบอกมาว่าไฟไม่ไหม้ร่างพ่อท่าน ตนและลูกศิษย์หลายๆคนได้ขึ้นไปดูให้เห็นกับตาและเป็นอย่างนั้นจริงจึงได้ไลฟ์สดจนมีผู้คนเข้ามาดูเป็นจำนวนมาก

พระครูขันติคุณากร (ขับ ขันติโก ) อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพะวัน (บางขวนเหนือ ) อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2487 ตรงกับแรม 11 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ที่บ้านเลขที่ 127 หมู่ที่ 6 ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง


อุปสมบทเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2509 ณ พัทธสีมาวัดอัมพะวัน อุปัชฌาย์ คือพระครูวิลาศวรัญญู (ชุม ยสโร) วัดควนปิยาราม
พระครูสุโชติธรรมจารี วัดควนนางพิมพ์ พระกรรมวาจาจารย์ พระใบฎีกาเรียง วัดรัตนาราม พระอนุสาวนาจารย์


วิทยฐานะ พ.ศ.2499 จบ ป.4 จากโรงเรียนวัดบางขวน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง พ.ศ.2521 สอบได้นักธรรมชั้นเอก
งานปกครอง พ.ศ.2512 รับแต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาสวัดอัมพะวัน พ.ศ.2518 รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพะวัน พ.ศ.2551 รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง
มณศักดิ์ พ.ศ.2530 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรม พระใบฎีกา พ.ศ.2546 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่ พระครูขันติคุณากร
มรณภาพ พระครูขันติคุณากร มรณภาพอย่างสงบ ณ โรงพยาบาลพัทลุง จ.พัทลุง เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2560 สิริอายุ 73 ปี พรรษา 51

นอกจากนี้ พ่อท่านขับได้รับขนานนามว่าเป็น “ศิษย์เอกผู้สืบทอดการถักสายคาดเอวจากพ่อท่านชุม ยสโร วัดบ้านโพธิ์ อีกด้วย

กลุ่มนักดนตรีอิสระยื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรม ถึงมาตรการ การป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมย้ำส่วนราชการอย่าเลือกปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน


นายกรรณฑพล ด้วงทอง อายุ 44 ปี หรือต้น เทวดาโหลยาง(เท-วะ-ดา-โหล-ยาง) ตัวแทนกลุ่มอาชีพนักดนตรีอิสระ และผู้ประกอบการบันเทิงอิสระ จังหวัดพัทลุง รวมตัวกันยื่นหนังสือถึง นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เรื่องขอความชัดเจนในมาตรการ การป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในพื้นที่ จ.พัทลุง


ซึ่งในเบื้องต้น ทางนายแพทย์ไพศาล เกื้ออรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง และ ทำหน้าที่เป็นเลขานุการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เป็นผู้มารับหนังสือดังกล่าว พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มตัวแทนนักดนตรีอิสระ และผู้ประกอบการบันเทิงอิสระ ก่อนที่ทางนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง จะเดินทางมาร่วมรับหนังสือเรียกร้องดังกล่าวด้วย


เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่กลับมาแพร่ระบาดระลอกใหม่อยู่ในขณะนี้ ทำให้หลายอาชีพ ได้รับผลกระทบมีความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพ ซึ่งอาชีพนักดนตรีอิสระ และผู้ประกอบการความบันเทิงอิสระ ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากงานที่จะแสดงต่างๆ ถูกเจ้าภาพยกเลิกจนหมด ทำให้ขาดรายได้ อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ ก็ยังสับสนในมาตรการ การป้องกันการควบคุมการแพร่ระบาดที่ชัดเจนของทางจังหวัด หรือทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพัทลุง ซึ่งทำให้เจ้าภาพงานต่างๆ กลัวความผิดไม่กล้าจัดงาน แต่เมื่อไปขออนุญาตทางอำเภอ หรือในระดับท้องถิ่น ก็โดนปฏิเสธไม่อนุญาตให้ใช้เสียงและงดการแสดง จึงเป็นที่มาของการรวมตัวกันมายื่นหนังสือดังกล่าว เพื่อขอความชัดเจนอย่างเร่งด่วน เนื่องจากขณะนี้กลุ่มอาชีพนักดนตรีอิสระและผู้ประกอบการความบันเทิงอิสระ ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก


นายกรรณฑพลฯ ตัวแทนกลุ่มนักดนตรีอิสระ กล่าวว่า ในวันนี้พวกตนได้ร่วมตัวกันมายื่นหนังสือเพื่อสอบถามแนวทางถึงมาตรการป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงมีการแพร่ระบาดจนน่ากลัว และในนามของตัวแทนกลุ่มนักดนตรีอิสระ ผู้ประกอบการบันเทิงอิสระ ขอให้ทางจังหวัดพัทลุงออกมาประกาศมาตรการที่ชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน พร้อมออกมาชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบอย่างละเอียด เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน และถือปฏิบัติแบบเดียวกัน และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนของประชาชน หรือที่เรียกว่า การปฏิบัติแบบครอบฝาชี นั่นเอง


ในส่วนทางด้าน นายบรรเลง กิ่งโพยม อายุ 41 ปี ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนตัวอยากจะขอเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากภาครัฐว่า ทำไมร้านเหล้า ผับ บาร์ ในพื้นที่ของจังหวัดพัทลุง ยังสามารถเปิดได้ตามปกติ ทั้งที่มีการเล่นดนตรีสดทุกค่ำคืน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่เสี่ยง แต่ทำไมนักดนตรีอิสระถึงห้ามเล่น ห้ามจัดการแสดงต่างๆ ซึ่งตนมองว่าไม่มีความเป็นธรรม ในการจัดระบบดังกล่าว.

พัทลุง-ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก2 แกนนำกปปส.พัทลุง

ศาลฎีกาตัดสินคดี 10 แกนนำกลุ่มกปปส.พัทลุงคดีขัดขวางเลือกตั้ง สั่งจำคุก “ทวี ภูมิสิงหราช” 2 ปี 12 เดือนและ”สุพลชัย คงเขียว” โทษจำคุก 2ปี 14 เดือนพร้อมถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่วนอีก 5 รายรอลงอาญา และที่เหลือ 3 รายศาลยกฟ้อง
25 มกราคม2564 ที่ศาลจังหวัดพัทลุงนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4005/2560 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดพัทลุงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทวี ภูมิสิงหราช อดีตแกนนำกปปส.พัทลุงกับพวกรวม 11 คน ข้อหาขัดขวางการเลือกตั้ง


สำหรับคดีดังกล่าวนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีร่วมกันจำนวน 11 คน แต่เสียชีวิตไปแล้ว 1 คน คือนายเฉลียว เกื้อสุข เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวเมื่อหลายปีก่อน ส่วนที่เหลืออีก จำนวน 10 ราย วันนี้ก็เข้าเดินทางฟังคำตัดสินของศาลจังหวัดพัทลุง


โดยศาลตัดสินให้จำเลยที่ 1 นายทวี ภูมิสิงหราช โทษจำคุก 2 ปี 12 เดือน, นายสุพลชัย คงเขียว โทษจำคุก 2ปี 14 เดือน ทั้งสองคนนี้ศาลฎีกาตัดสินจำคุกทันที โดยไม่รอลงอาญา
ส่วนนายประหยัด อินทร์ทองปาน จำคุก2ปี 8เดือน ปรับ 60,000 รอลงอาญา ,นายจรูญ พรรณาราย จำคุก 2ปี 8เดือน ปรับ 60,000 รอลงอาญา ,นายปิติพันธุ์ จุรุพันธ์ จำคุก 1ปี 12 เดือน ปรับ 50,000บาท รอลงอาญา ,นางวิมล พงษ์จั่นเผือก โทษจำคุก 1 ปี 8 เดือน ปรับ 40,000 บาท รอลงอาญา

นายสันติชัย ชายเกตุ โทษจำคุก 8 เดือน ปรับ 20,000 บาท รอลงอาญา ซึ่งทั้งหมดจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ขณะที่เหลืออีก 3 คน คือ นายปราโมทย์ เพชรดวง ,นายดอน พุมมาลี และ นางโฉมพิไล บุญผลึก ศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องทั้งสามราย


นายดอน พุมมาลี 1 ใน 3 คนที่ศาลตัดสินยกฟ้องในครั้งนี้ ได้ให้สัมภาษณ์หลังฟังคำตัดสินแล้วเสร็จว่า ก็รู้สึกดีใจกับกลุ่มแกนนำที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกันทั้งหมด แต่ก็รู้สึกเสียใจที่ยังมีกลุ่มแกนนำอีก2 ราย ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกไป แต่ถึงอย่างไรก็ตามถือว่าทุกคนได้ทำหน้าที่ของตัวเองกันอย่างเต็มที่แล้ว และหลังจากนี้ก็ยืนยันว่ายังคงต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองกันต

พัทลุง-ตร.บางแก้วตามรวบหญิงวัย43ปี ลักลอบค้ายาโดยเปิดร้านค้าของเก่าบังหน้า


พ.ต.ท.ถาวร ทิพวารี สวป.สภ.บางแก้ว พร้อมด้วย ร.ต.อ.ประเสริฐ วัฒน์หนู รอง สว.สส.สภ.บางแก้ว และกำลังเจ้าหน้าทีตำรวจในชุด ร่วมกันวางแผนจับกุม น.ส.สุภานี ชูราษี อายุ 43 ปี ได้คาบ้านพักที่เปิดเป็นจุดรับซื้อขายของเก่าพร้อมของกลางยาบ้าจำนวนหนึ่ง ในพื้นที่ ม.6 ต.ท่ามะเดื่อ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง ก่อนคุมตัวสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมแจ้งข้อหา มียาเสพติดไห้โทษประเภท1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพยาเสพติดไห้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)โดยผิดกฎหมาย


จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ยาบ้าดังกล่าวตนรับมาขายครั้งละ 70 ถึง 100 เม็ดในราคาเม็ดละ30-35 บาท ก่อนนำมาแบ่งขายปลีกเม็ดละ 50 บาท ให้กับเหล่าบรรดานักเสพในพื้นที่ กำไรจากการขายยานรก ทางผู้ต้องหาอ้างว่านำมาใช้จ่ายในครอบครัว เพราะรายได้จากการรับซื้อของเก่าไม่เพียงพอ อีกทั้งระยะหลังสามีของตัวเองก็ไม่ค่อยจะสนใจดูแลครอบครัวมากนัก คาดว่าน่าจะไปติดพันหญิงอื่น ตนจึงต้องหารายได้เลี้ยงครอบครัวและลูกๆเพิ่มขึ้น โดยหันมาค้ายานรก


หลังจากการสอบสวนเพิ่มเติม ทางผู้ต้องหาก็ยังให้การซัดทอดว่ายาบ้าดังกล่าว ตนรับมาจากเอเย่นต์รายหนึ่ง ในพื้นที่ ต.นาปะขอ อ.บางแก้ว ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงวางแผนขยายผลต่อ

จนสามารถรวบ นายพัชรินทร์ โชตินะกิจ อายุ 51 ปี ได้พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 82 เม็ด ขณะนำยาบ้ามาส่งให้ลูกค้า หลังจากถูกจับกุมเจ้าหน้าที่พยายามสอบถามว่ารับยาบ้าดังกล่าวมาจากที่ไหน แต่ทางนาย พัชรินทร์ฯ ไม่ยอมปริบากพูดอะไร เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงควบคุมตัวนายพัชรินทร์ฯ ผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางแก้ว เพื่อดำเนินคดีในข้อหามียาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และเสพยาเสพติดประเภท 1(ยาบ้า)โดยผิดกฎหมาย ต่อไป.

ชาวนาบ้านท่ามะนาวโอดครวญ หลังเจอศัตรูข้าวระบาดพบข้าวในนาเสียหายเกือบทั้งหมด ด้านผู้ว่าฯลงพื้นที่ให้กำลังใจพร้อมหาแนวทางช่วยเหลือ


นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ม.5 บ้านนาสวน และพื้นที่ ม.7 บ้านท่ามะนาว ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เพื่อให้กำลังใจและรับฟังปัญหาความเดือดร้อน พร้อมหาทางแก้ปัญหาให้กับชาวนาในพื้นที่ ที่ประสบกับปัญหาศัตรูในนาข้าว หรือโรคเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาด จนชาวนาได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด ทั้งที่ข้าวใกล้จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วด้วยซ้ำ


เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำลายนาข้าว โดยมันจะดูดเอาน้ำเลี้ยงจากต้นข้าว จนทำให้ต้นข้าวแห้งตาย และเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสโรคใบหงิกของต้นข้าวอีกด้วย ลักษณะของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นแมลงขนาดเล็ก 2-3 มิลลิเมตร สีน้ำตาล มีรูปร่าง 2 ลักษณะ คือ ชนิดปีกยาว และชนิดปีกสั้น ในพื้นที่ จ.พัทลุงพบเห็นไม่บ่อยนัก แต่ก็ถือเป็นวายร้ายประจำนาข้าว


นางบุญน้อม เนียมทอง อายุ 57 ปี เกษตรกรทำนาในพื้นที่ ม.7 บ้านท่ามะนาว ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เล่าว่า ตนได้เริ่มหว่านข้าวนาปีในรอบนี้มาเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว บนเนื้อที่ทั้งหมด 27 ไร่ ปลูกข้าวหอมปทุมและข้าวไรซ์เบอร์รี่ จนกระทั่งเมื่อต้นเดือน ม.ค.64 ที่ผ่านมา ตนสังเกตุเห็นข้าวในนาล้มระเนระนาด แต่เข้าใจว่าข้าวล้มเนื่องจากลมแรงบวกกับมีฝนตกลงมาตลอด หลังจากนั้นในวันที่ 8 ม.ค. ถึงทราบว่าข้าวในนาไม่ได้ล้มเพราะสภาพอากาศ แต่ล้มแห้งตายเพราะศัตรูข้าวระบาด หรือถูกเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลทำลายไปถึง 20 ไร่ จากที่ปลูกทั้งหมด 27ไร่

ตัวเองถูกกับเข่าทรุด เพราะอีกไม่กี่วันข้าวในนาก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ส่วนสาเหตุที่เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเกิดการระบาดขึ้นอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานในรอบ 4 ถึง 5 ปี คาดว่าน่าจะเป็นเพราะสภาพอากาศ ที่มีฝนตกชุก ทำให้เกิดความชื้น
ทางด้าน นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก็ได้ลงพื้นที่นาไปดูความเสียหายในครั้งนี้ด้วย พร้อมเน้นย้ำถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาต่อไป

เบื้องต้นจะเร่งตรวจสอบว่าเกษตรกรชาวนาที่ได้รับผลกระทบได้ทำประกันข้าวไว้หรือไม่ ในส่วนที่ทำประกันไว้ทางธนาคารที่รับผิดชอบดูแลก็จะเข้ามาช่วยเหลือ ส่วนชาวนาที่ไม่ได้ทำประกัน ทางจังหวัดก็ต้องหารือกับส่วนที่เกี่ยวข้อง หามาตรการช่วยเหลือต่อไปตามความเหมาะสม และทางสำนักงานเกษตรกรจังหวัดพัทลุง ก็ได้แนะมาตรการ การแก้ปัญหาระยะยาวให้กับเกษตรกรชาวนาในพื้นที่ โดยการลองเปลี่ยนพันธุ์ข้าวที่ใช้เพาะปลูกจากเดิมที่เป็นข้าวพันธุ์หอมปทุม ข้าวไรซ์เบอรรี่ และข้าวสังข์หยด เป็นพันธุ์ที่มีความต้านทานศัตรูนาข้าวอย่างข้าวพันธุ์ กข-43 และพันธุ์ข้าว กข-79 ทดแทน ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดหาพันธุ์ข้าวให้แก่เกษตรกรชาวนา หากสามารถสนับสนุนพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรได้เลยก็จะจัดหามาให้


นายกู้เกียรติ ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้นิ่งนอนใจในการช่วยเหลือ และพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเกษตรกรชาวนาอย่างเต็มที่ต่อไป
สำหรับความเสียหายโดยรวมของจังหวัดพัทลุง จากการแพร่ระบาดของโรคเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล มีเกษตรกรชาวนาที่ได้รับผลกระทบแล้ว 3 อำเภอ ได้แก่ อ.ควนขนุน พื้นที่นาข้าวได้รับความเสียหายประมาณ 1,560 ไร่ อ.เมืองพื้นที่นาข้าวได้รับความเสียหายประมาณ 50ไร่ และ อ.ป่าบอน พื้นที่นาข้าวได้รับความเสียหายประมาณ 10 ไร่.

จังหวัดพัทลุงพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่แล้ว 3 ราย เป็นแรงงานต่างด้าวทั้งหมด

เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วย นายไพศาล เกื้ออรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง และนายแพทย์จรุง บุญกาญจน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพัทลุง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเดินทางมาร่วมแถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ห้องประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง ซึ่งขณะในพื้นที่ จ.พัทลุง พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่แล้ว 3 ราย เป็นแรงงานต่างด้าวชาวลาว 1 ราย และแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาร์(พม่า)2 ราย


แรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาร์(พม่า)2รายนั้น พบว่าเป็นผัว-เมียกัน ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทออกแบบและรับเหมาก่อสร้าง ใน อ.บางแก้ว ส่วนอีกรายเป็นสาวลาวอายุ 27 ปี ทำงานอยู่ร้านคาราโอเกะ ในพื้นที่ ต.แม่ขรี หรือที่ชาวบ้านมักเรียกว่าเขต 8 อ.ตะโหมด ผู้ป่วยทั้ง 3 รายเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจคัดกรองปฏิบัติการเชิงรุกจนทราบผล เนื่องจากผู้ป่วยทั้ง3รายไม่แสดงอาการในเบื้องต้นแต่อย่างใด และขณะนี้อยู่ในความดูแลรักษาของแพทย์ที่โรงพยาบาลบางแก้วอาการก็ดีขึ้นตามลำดับ

จากการตรวจสอบประวัติไทม์ไลน์ผู้ป่วยทั้ง 3 ราย เบื้องต้นพบว่าผู้ป่วยเพศหญิงรายแรก ที่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวลาว อายุ 27ปี ได้เข้ามาทำงานที่ร้านคาราโอเกะในพื้นที่ ต.แม่ขรี ได้ประมาณ 6เดือน พักอาศัยอยู่ที่ร้านคาราโอเกะ ไม่มีการเดินทางออกนอกพื้นที่ โดยในช่วงวันที่ 1-4 ม.ค.64 ได้ทำงานอยู่ที่ร้านคาราโอเกะ ไปเดินตลาดสดแม่ขรี และไปพูดคุยกับเพื่อนร้านคาราโอเกะด้วยกันในละแวกใกล้เคียง วันที่ 5 ม.ค.64 ทำงานที่ร้านให้บริการลูกค้าไป 2 ราย และไปร้านเสริมสวยบริเวณใกล้เคียง วันที่ 6-14 ม.ค.64 ไปหาเพื่อนร้านคาราโอเกะใกล้เคียง ไปร้านเสริมสวยละแวกเดียวกัน และไปเดินตลาดสดแม่ขรี วันที่ 15 ม.ค.64 ทำงานที่ร้าน และไปหาเพื่อนร้านคาราโอเกะใกล้เคียง และวันที่ 16 ม.ค.64 ไปกักตัวที่โรงพยาบาลบางแก้ว


ส่วนแรงงานชาวเมียนมาร์(พม่า)เป็นหญิงอายุ 40ปีและชายอายุ 41ปี ซึ่งเป็นผัวเมียกัน มีอาชีพรับจ้างก่อสร้างฝ่ายชายเข้าพื้นมาตั้งแต่ปี 2556 ส่วนฝ่ายหญิงเข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2560 มีไทม์ไลน์ดังนี้ วันที่ 31 ธ.ค.63 ร่วมงานเลี้ยงของบริษัท วันที่ 1 ทั้งสองหยุดงาน และพักอยู่ที่บ้านพักคนงาน ช่วงเช้าออกไปซื้อกาแฟ-ปาท่องโก๋ ตรงข้ามร้านเซเว่นในตลาดแม่ขรี และตอนเย็นไปซื้อบุหรี่ที่ร้านในตลาดแม่ขรี วันที่ 2-15 ม.ค.64 ได้นั่งรถยนต์กระบะ ของบริษัทไปทำงานก่อสร้างบริเวณแยกท่ามิหรำ ในพื้นที่ อ.เมือง ทุกๆวันที่ทำงานจะมีการดื่มน้ำแก้วเดียวกันกับคนงานคนอื่นๆตลอด


และวันที่ 16 ม.ค.64 ช่วงเช้าทั้งสองเดินทางมาทำงานที่ไซด์งานปกติที่ท่ามิหรำ ช่วงบ่ายเข้ากักตัวและรับการรักษาที่โรงพยาบาลบางแก้ว จนถึงปัจจุบัน

และในวันนี้ทางโรงเรียนในเขตพื้นที่ของ อ.บางแก้ว และ อ.ตะโหมด 2อำเภอที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพัทลุงเขต 2 ก็ได้สั่งให้มีการหยุดเรียนชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 18-22 ม.ค.64 ส่วนโรงเรียนในพื้นที่อื่นๆ

สามารถไปเรียนได้ตามปกติ ยกเว้นเด็กนักเรียนที่อยู่ในสองอำเภอเสี่ยงข้างต้น ให้ผู้ปกครองตัดสินใจได้ตามความเหมาะสม หากให้นักเรียนหยุดหรือขาดเรียนทางผู้ปกครองต้องแจ้งครูประจำชั้น หรือครูที่ปรึกษาให้รับทราบ เพื่อจะได้แก้ปัญหาและปรับเปลี่ยนการเรียนให้เหมาะสมต่อไป.

พัทลุงออกหนังสือขอความร่วมมืองดเว้นหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด

จังหวัดพัทลุงได้ออกหนังสือประกาศขอความร่วมมือให้ประชาชนงดเว้นหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด เพื่อป้องการการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019​ พร้อมทั้งวางมาตรการและเริ่มจัดตั้งด่านตรวจคัดกรอง

วันที่ 13 มกราคม 2563 เวลา 13.30-17.30 น. นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้ออกตรวจจุดตรวจจุดสกัดของผู้เดินทางเพื่อป้องกันคัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) เพื่อสร้างกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอำเภอป่าบอน อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอป่าพะยอม ทั้งนี้ กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติตาม มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ดังนี้

1.สุ่มตรวจผู้เดินทางทุกชั่วโมง และจัดระเบียบการจราจร การตรวจโรคให้เรียบร้อย ไม่ก่อความเดือดร้อนต่อผู้เดินทางเกินสมควร
2.กรณีผู้เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุม หรือพื้นที่เฝ้าระวังสูง ให้ดำเนินการ ดังนี้ – ตรวจวัดอุณหภูมิและเฝ้าสังเกตอาการ – สอบถามเหตุผลความจำเป็น และสถานที่ปลายทางจากผู้เดินทางให้ชัดเจน – ตรวจสอบการติดตั้งและใช้งานแอปพลิเคชั่น “หมอชนะ” ของผู้เดินทาง และแนะนำ/ขอความร่วมมือการใช้งานแอปพลิชั่นดังกล่าว – ลงบันทึกข้อมูลผู้เดินทางผ่านจุดตรวจหรือจุดสกัดในสมุดบันทึก
3.หากพบบุคคลที่เข้าข่ายสอบสวนโรค ให้ดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด แล้วรายงานข้อมูลให้จังหวัดทราบโดยด่วน

ทั้งนี้​ ในเวลาต่อมาจังหวัดพัทลุงได้ออกประกาศขอความร่วมมือประชาชนงดเว้นหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัดแล้ว

ภาพ : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพัทลุง



ครม.เห็นชอบมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด รับ 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน 2 เดือน คลังชงเงื่อนไขเข้าครม.สัปดาห์หน้า พร้อมลดค่าน้ำ-ค่าไฟ

วันที่ 12 มกราคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยได้ออกมาตารการการเยียวยาและดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 ครม.อนุมัติได้เงินเยียวยาประชาชน จำนวน 3,500 บาท ระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งมีรูปแบบเยียวยาในอาชีพ คือ แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม รวมไปถึงยังมีโครงการคนละครึ่ง เปิดให้ลงทะเบียนใหม่ 1 ล้านสิทธิ์ ปลายเดือน ม.ค. นี้ด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า เห็นชอบมาตรการด้านเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ โดยให้ลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ประกอบด้วย การลดค่าไฟฟ้าทั้งในส่วนของครัวเรือน/กิจการขนาดเล็ก เป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่รอบบิลเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ซึ่งครัวเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน จะงดเก็บค่าไฟฟ้า 90 หน่วยแรก ส่วนที่ใช้เกินกว่า 150 หน่วยต่อเดือน ก็ให้ลดตามอัตราที่กำหนด สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ากิจการขนาดเล็ก ซึ่งไม่รวมหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรก

การลดค่าน้ำประปาลง ร้อยละ 10 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเวลา 2 เดือน คือรอบบิลเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม

ส่วนค่าอินเตอร์เนต หน่วยงานราชการได้หารือกับผู้ประกอบการ และมีมติเพิ่มความเร็วและความแรงของอินเทอร์เน็ตบ้านและโทรศัพท์เคลื่อนที่ พร้อมลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ ใช้บริการ ได้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานที่บ้านและให้ประชาชนสามารถโหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ฟรี ไม่คิดค่าดาต้าเป็นระยะเวลา 3 เดือน

นายกฯ ระบุด้วยว่า จากการติดตามประเมินผลโครงการคนละครึ่ง ถือว่ายังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชน และทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ด้วยดี จึงจะเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่ อีกประมาณ 1 ล้านสิทธิช่วงปลายเดือนมกราคมนี้

“รัฐบาลยังมีนโยบายเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มให้ครอบคลุมเหมือนเช่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นแรงงานนอกระบบ อาชีพอิสระ เกษตรกร ในเบื้องต้นได้ให้มีการพิจารณาการเยียวยาที่เหมาะสม จำนวน 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ได้ให้กระทรวงการคลัง เร่งจัดทำรายละเอียดเสนอเข้า ครม.ในสัปดาห์หน้า โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของโควิด-19 ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จึงขอพิจารณาให้การช่วยเหลือในช่วง 2 เดือนก่อน” นายกฯ กล่าว