ชาวบ้านออกกรีดยาง พบชายนิรนามนอนขอความช่วยเหลือริมทางรถไฟในสภาพหนาวสั่น ก่อนรีบแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาชัยสน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเขาชัยสนเร่งเข้าพื้นที่

บริเวณริมทางรถไฟ ม.11 ต.หานโพธิ์ อ..เขาชัยสน จ.พัทลุง หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบชายนิรนาม นอนขอความช่วยเหลืออยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ในสภาพหนาวสั่น เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุพบชายนิรนาม นอนสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีครีมดำ กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน มีบาดแผลฉีกขาดบริเวณแก้มซ้าย

และมีอาการปวดบริเวณแขนและขาขวา อยู่ในอาการหนาวสั่น แต่ยังคงพูดคุยและสามารถบอกชื่อและที่อยู่ของตัวเองได้ หลังจากการพูดคุยจนทราบชื่อ คือนายสุรินรัตน์ สระแก้ว อายุ 43 ปี เป็นคนในพื้นที่ ต.น้ำผุด อ.ละงู จ.สตูล


จากการสอบถามชาวบ้าน ทราบว่า เมื่อช่วงเช้าขณะที่ตนกำลังจะเดินทางไปสวนยางพารา ระหว่างทางก็เห็นคล้ายมีคนนอนอยู่ในจุดเกิดเหตุ จึงเดินเข้าไปดูก็พบว่าเป็นคนจริง และยังมีชีวิตอยู่ ตนจึงรีบโทรประสานเจ้าหน้าที่ผ่านทางสายด่วน 191 เพื่อให้เข้าตรวจสอบและให้ช่วยเหลือต่อไป


ส่วนสาเหตุเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่คาดว่าผู้ได้รับบาดเจ็บ น่าจะพลาดท่าพลัดตกจากรถไฟ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องสอบถามทางผู้บาดเจ็บอย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป ส่วนผู้บาดเจ็บขณะนี้ได้ส่งไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเขาชัยสนเพื่อรักษาอาการ ก่อนประสานติดต่อญาติเข้ามาดูแลอีกครั้งหนึ่ง.

ประวัติจังหวัดพัทลุง

เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์


ดังปรากฏหลักฐานจากการค้นพบขวานหินขัดในท้องที่ทั่วไปหลายอำเภอในสมัยศรีวิชัย ( พุทธศตวรรษที่ 13 –14 ) บริเวณเมืองพัทลุงเป็นแหล่งชุมชนที่ได้รับวัฒนธรรมอินเดียในด้านพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน มีหลักฐานค้นพบ เช่นพระพิมพ์ดินดิบจำนวนมากเป็นรูปพระโพธิสัตว์ รูปเทวดาโดยค้นพบ บริเวณถ้ำคูหาสวรรค์ และถ้ำเขาอกทะลุ

ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 19 เมืองพัทลุงได้ตั้งขึ้นอย่างมั่นคงภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยา ในสมัย พระบรมไตรโลกนาถ ได้ปรากฏชื่อเมืองพัทลุง ในกฎหมายพระอัยการนาทหารหัวเมือง พ.ศ.1998 ระบุว่าเมืองพัทลุง

มีฐานะเป็นเมืองชั้นตรี ซึ่งนับได้ว่าเป็นหัวเมืองหนึ่งของพระราชอาณาจักรทางใต้ ที่ตั้งเมืองพัทลุงในระยะเริ่มแรกนั้น

เชื่อกันว่า ตั้งอยู่ที่เมืองสทิงพระ จังหวัดสงขลาในปัจจุบัน มักจะประสบปัญหาโดนโจมตีจากกลุ่มโจรสลัดมาเลย์ อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโจรสลัดราแจะอารูและอุยงคตนะ ได้เข้าปล้นสดมภ์โจมตีเผาทำลายเมืองอยู่เนืองๆ ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ด๊ะโต๊ะโมกอล ชาวมุสลิมที่อพยพมาจากเมืองสาเลห์ บริเวณหมู่เกาะชวา ซึ่งเป็น

ต้นตระกูลของสุลต่านสุไลมาน แห่งเมืองสงขลาได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานค้าขาย ณ หัวเขาแดง แล้วตั้งประชาคมมุสลิมขึ้น ตรงนั้นอย่างสงบ ไม่มีการขัดแย้งกับชาวเมืองที่อยู่มาก่อน ปักหลักอยู่ยาวนานจนมีผู้คนอพยพมาอาศัยอยู่มากขึ้น ในที่สุดก็พัฒนาขึ้นมาเป็นเมืองท่าปลอดภาษี มีเรือสำเภาแวะเข้ามาซื้อ

บทบาทของดะโต๊ะโมกอลได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรศรีอยุธยาด้วยดี พระเจ้าทรงธรรมโปรดเกล้าฯ

แต่งตั้งเป็น “ข้าหลวงใหญ่” ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อมาคือท่านสุไลมานบุตรชายคนโต มีหน้าที่ปกครองดูแลรักษา ความสงบของพื้นที่ตั้งแต่ตอนล่างของนครศรีธรรมราช มาจดเขตปัตตานี ครอบคลุมครึ่งล่างของเมืองตรัง ปะเหลียน พัทลุง และสงขลา

นอกจากนี้ก็ต้องเก็บส่วยสาอากรส่งถวายพระเจ้าแผ่นดินที่กรุงศรีอยุธยา ท่านสุไลมานก็ได้ทำ หน้าที่นี้เรียบร้อยด้วยดีมาตลอด ต่อมาได้ย้ายเมืองสงขลาจากสทิงพระมายังหัวเขาแดงซึ่งมีชัยภูมิป้องกันตนเอง ในสมัยสุลต่านสุไลมาน บุตรของดะโต๊ะโมกอล ได้ส่ง ฟาริซีน้องชายซึ่งเป็นปลัดเมืองมาสร้างเมืองใหม่ที่ได้ดีกว่า

ขาชัยบุรี เพื่อป้องกันศัตรูที่จะมาโจมตีเมืองสงขลาทางบก ภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง และ ได้ย้ายเมืองพัทลุงออกจากเมืองสงขลาตั้งแต่นั้น และตั้งเมืองอยู่ที่เขาชัยบุรีตลอดมาจนกระทั่งสิ้นกรุงศรีอยุธยาเมื่อ ปี พ.ศ.2310

ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ได้มีการย้ายสถานที่ตั้งเมืองอีกหลายครั้งและได้ยกขึ้นเป็นเมืองชั้นโทใน

รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในช่วงนี้เมืองพัทลุงมีผู้นำที่มีความสำคัญในการสร้างความ เจริญและความมั่นคงให้กับบ้านเมืองหลายท่าน อาทิ พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) พระยาวิชิตเสนา (ทองขาว)


พระยาอภัยบริรักษ์ (จุ้ย จันทร์โรจน์วงศ์) ส่วนประชาชนชาวเมืองพัทลุงก็ได้มีบทบาทในการร่วมมือกับผู้นำ ต่อสู้ ป้องกันเอกราชของชาติมาหลายครั้ง เช่น เมื่อสงครามเก้าทัพ (พ.ศ. 2328 – 2329) พม่าจัดกองทัพใหญ่ 9 ทัพ 1 ใน 9 ทัพ มีเกงหวุ่นแมงยีเป็นแม่ทัพ ยกลงมาตีทางใต้ ตีได้เมืองกระบุรี ระนอง ชุมพร ไชยา และนครศรีธรรมราช


ตามลำดับ ขณะที่กำลังจัดไพร่พลอยู่ที่นครศรีธรรมราช เพื่อจะยกมาตีเมืองพัทลุงและสงขลานั้น พระยาพัทลุงโดยความ

ร่วมมือจากพระมหาช่วยแห่งวัดป่าลิไลยก์ ได้รวบรวมชาวพัทลุงประมาณ 1,000 คน ยกออกไปตั้งขัดตาทัพที่คลอง ท่าเสม็ด จนกระทั่งทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 ทรงยกกองทัพมาช่วย หัวเมืองปักษ์ใต้ ตีทัพพม่าแตกหนีไป พระมหาช่วยได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ลาสิกขาแล้วแต่งตั้งเป็นพระยาทุกขราษฎร์


ช่วยราชการเมืองพัทลุง นอกจากสงครามกับพม่าแล้วชาวพัทลุงยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ของประเทศชาติในหัวเมืองภาคใต้ เพราะปรากฏอยู่เสมอว่าทางเมืองหลวงได้มีคำสั่งให้เกณฑ์ชาวพัทลุง พร้อมด้วย


เสบียงอาหารไปทำสงครามปราบปรามกบฏในหัวเมืองมลายูเช่น กบฏไทรบุรี พ.ศ.2373 และพ.ศ.2381 ซึ่งบทบาท


ดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของเมืองพัทลุง ทางด้านการเมือง การปกครองในอดีตเป็นอย่างดี ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปฏิรูปการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาลใน พ.ศ. 2437

และได้ประกาศจัดตั้งมณฑลนครศรีธรรมราชขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2439 ประกอบด้วยเมืองต่างๆ คือ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และหัวเมืองทั้ง 7 ที่เป็นเมืองปัตตานีเดิม สำหรับเมืองพัทลุงแบ่งการปกครองออกเป็น 3 อำเภอ

คือ อำเภอกลางเมือง อำเภออุดร อำเภอทักษิณ ขณะนั้นตัวเมืองตั้งอยู่ที่ตำบลลำปำ จนกระทั่ง พ.ศ. 2467 พระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองพัทลุงมาอยู่ที่ตำบลคูหาสวรรค์ในปัจจุบัน เพื่อจะได้อยู่ใกล้


เส้นทางรถไฟ และสะดวกในด้านติดต่อกับเมืองต่างๆ จากอดีตถึงปัจจุบัน เมืองพัทลุงได้มีการย้ายเมืองหลายครั้ง

สถานที่เคยเป็นที่ตั้งเมืองพัทลุงมาแล้ว ได้แก่

โคกเมืองแก้ว ปัจจุบัน หมู่ที่ 4 ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน

บ้านควนแร่ ปัจจุบัน หมู่ที่ 1 ตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมืองพัทลุง

เขาชัยบุรี(เขาเมือง) ปัจจุบัน เขต 3 ตำบล คือตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง

ท่าเสม็ด ปัจจุบัน ตำบลท่าเสม็ด อำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมราช

เมืองพระรถ ปัจจุบัน หมู่ที่ 1 ตำบลควนมะพร้าว อ.เมืองพัทลุง

บ้านควนมะพร้าว ปัจจุบัน หมู่ที่ 2 ตำบลพญาขัน อ.เมืองพัทลุง

บ้านม่วง ปัจจุบัน หมู่ที่ 6 ตำบลพญาขัน อ.เมืองพัทลุง

บ้านโคกสูง ปัจจุบัน หมู่ที่ 4 ตำบลลำปำ อ.เมืองพัทลุง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 ได้มีการจัดระเบียบบริหารส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ ได้ยกเลิกการปกครอง

นอกจากด้านการเมืองการปกครองแล้ว สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ ด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรม

เมืองพัทลุงเคยมีชื่อเสียงในการละเล่นพื้นเมือง คือหนังตะลุง มโนราห์ ลิเกป่า ส่วนด้านศาสนา ได้มีการทะนุบำรุง พระพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีต มีการพระราชทานพื้นที่พระกัลปานา วัดเขียนบางแก้ว วัดสทัง วัดพะโค๊ะ เพื่อบำรุงรักษา
วัดให้เจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา

ชื่อเมืองพัทลุง


ในสมัยก่อนชื่อเมืองพัทลุง ไม่ได้เขียนอย่างที่ปรากฏให้เห็นจากหลักฐานพบว่าบนเหรียญอีแปะพัทลุง
พ.ศ. 2426 เขียนว่า พัททะลุง และพัตลุง ในเอกสารของไทย ใช้ต่างกันมากมายได้แก่ พัตะลุง พัดทลุง พัทธลุง พัตทลุง พัฒลุง พัทลุง ในเอกสารเบอร์นีของอังกฤษสมัยรัชกาลที่ 3 เขียนว่า Bondelun และ Merdelong ของ

นายลามาร์ วิศวกรชาวฝรั่งเศส สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เขียนว่า Bourdelun ความหมายของชื่อเมือง หมายถึงเมืองช้างหรือเมืองเกี่ยวเนื่องด้วยช้างซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงหลายประการ คำว่า “พัต-พัท-พัทธ” ยังไม่อาจ


ทราบได้ว่าคำเดิมเขียนอย่างไร คำไหน ทราบเพียงว่าใช้เป็นคำขึ้นต้น ส่วนคำพื้นเมืองที่เรียกว่า“ตะลุง”แปลว่าเสา


ล่ามช้างหรือไม้หลักผูกช้างชื่อบ้านนามเมืองของพัทลุงที่เกี่ยวกับช้างมีมากหรือจะเรียกว่าเป็น“เมืองช้าง”ก็ได้ โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลาในแถบชะรัดซึ่งอยู่ติดกับเทือกเขาบรรทัด มีช้างป่าชุกชุม และใน ตำนานนางเลือดขาวตำนานเมืองพัทลุงกล่าวว่า ตาสามโม ยายเพชรเป็นหมอสดำหมอเฒ่านายกองช้าง เลี้ยงช้าง ส่งเจ้าพระยากรุงทองทุกปี ต่อมาพระกุมารกับนางเลือดขาวก็ได้รับมรดกเป็นนายกองเลี้ยงช้างส่งส่วย

ซึ่งในปัจจุบันชาวบ้านบางส่วนยังคงนับถือ “ตาหมอช้าง”

ที่มา http://www.phatthalung.go.th/old/history.php

สาววัย38ปี ชอบดื่มชาเย็น ผันตัวเองสู่เจ้าของธุรกิจชาฮับ ขยายธุรกิจกว่า 50 สาขาทั่วประเทศ

น.ส.ศุภิกา หรือฮับ ใบบาว อายุ 38 ปี เจ้าของธุรกิจเฟรนไชน์ ชาฮับ ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มที่กำลังเป็นที่นิยมของผู้คนทุกกลุ่ม ทุกวัย มีสาขามากมายทั่วประเทศ กว่า 50 สาขา ชาฮับ อีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ชอบดื่มชา กาแฟ


น.ส.ศุภิกาฯ เล่าว่า แรกเริ่มเลยตนเป็นคนที่ชอบดื่มชาเย็นมาก ชอบเป็นชีวิตจิตใจ ชอบถึงขั้นต้องได้ดื่มชาเย็นทุกวัน อยู่ๆวันหนึ่งมีความคิดอยากเปิดร้านกาแฟเล็กๆสักร้านหนึ่ง จากความคิดจนกระทั่งเริ่มลงมือหัดทำชาเย็นในสูตรของตัวเองขึ้น

และมีการพัฒนาต่อยอดสูตรการชงชาต่อมาเรื่อยๆ จนมีโอกาสได้เปิดร้านเล็กๆของตัวเองขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน ในพื้นที่ของ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากตนเองก็เป็นคนในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นานก็มีการขยายสาขาเพิ่มเป็น 10 สาขา

และได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ในรูปแบบแบรนด์ของตัวเอง ภายใต้ชื่อ “ชาฮับ” ขึ้นมา
ต่อมาในปี 2559 ได้ขยายธุรกิจเฟรนไชน์ “ชาฮับ” มาในพื้นที่ จ.พัทลุง ได้รับการตอบรับจากผู้คนที่ชื่นชอบดื่มชานม ชาเย็น ชาเขียวและเครื่องดื่มอื่นๆกันเป็นจำนวนมาก

จนสามารถขยายธุรกิจเฟรนไชน์ ภายใต้ชื่อ “ชาฮับ”ได้ถึง 30 สาขาทั่วทั้งพื้นที่ จ.พัทลุง ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น และสำหรับใครที่สนใจธุรกิจเฟรนไชน์ “ชาฮับ” ก็สามารถติดต่อผ่านเฟสบุ๊คชาฮับ หรือผ่านทางหน้าร้านเฟรนไชน์ “ชาฮับ”ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ

ทั้งในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยะลา ปัตตานี สตูล กระบี่ ตรัง พัทลุง ระยอง และเชียงราย ที่มีสาขาอยู่กว่า 50 สาขา หรือติดต่อโดยตรงทาง 084-8557464


นอกจากนี้ ทางด้าน น.ส.ศุภิกาฯ ยังโชว์ฝีมือการชงชาเย็น และชาเขียวเย็นที่เป็นเครื่องดื่มที่ขายดีสุดของทางร้าน พร้อมบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะของชาเย็นว่า ผงชาต้องผสมเองจากทางร้าน ไม่ใส่สีเพื่อปรุงแต่ง

ทำให้รสชาติของชาเย็นที่นี่ มีความหอม หวาน กลมกล่อม ใครที่รักษ์สุขภาพก็ดื่มได้ เพราะรสชาติไม่หวานจัดมากนัก และใครที่ชื่นชอบการกินไข่มุกก็สามารถสั่งเพิ่มเติมได้ทุกเมนูเช่นกัน นอกจากชาเย็นที่เป็นจุดขายของทางร้านแล้ว

ยังมีชาเขียวเย็นที่ขายดีไม่แพ้กันเลย ลูกค้าที่ได้ดื่มต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า อร่อย ชื่นใจ และนอกจากรสชาดของชาที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว บรรยากาศการตกแต่งร้านเฟรนไชน์ทุกสาขาก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดเด่นไม่ซ้ำใครอีกด้วย.

พัทลุง-รมต.กระทรวงพานิชย์ ลงพื้นที่แนะการขายสินค้าสู่โลกออนไลน์ ง่ายๆแค่ถ่ายรูปและโพสต์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดพัทลุง เปิดอบรมสัมมนา เศรษฐกิจทันสมัย การค้าก้าวไกลไปกับดิจิทัล ที่โรงแรมชัยคณาธานี อ.เมือง จ.พัทลุง ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับจังหวัดพัทลุง

จัดขึ้นเพื่อจุดประกาย และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนเยาวชนรุ่นใหม่ ได้พัฒนาตนเอง และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็ง และเติบโตอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ และรัฐบาล
จะเห็นได้ว่าปัจจุบัน โลกธุรกิจได้เข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม

ซึ่งเป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านกายภาพ ดิจิทัล และชีวภาพ โดยเฉพาะเทคโนลยีดิจิทัล กำลังพลิกโฉมวิถีการดำรงอยู่ และพฤติกรรมของผู้คน ในโลกของการค้าออนไลน์ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคไปด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการ และภาครัฐ ต้องเตรียมรับมือ

เพื่อให้ธุรกิจเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ ให้สามารถเติบโตในโลกธุรกิจได้ ซึ่งการที่จะสร้างผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลให้เข้มแข็ง จะต้องมีกลไกส่งเสริมการตลาด และสนับสนุนการประยุกต์ใช้ดิจิทัล เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการรายย่อย เพิ่มขึ้น


ดังนั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงได้ร่วมกับจังหวัดพัทลุง จัดอบรมสัมมนา เศรษฐกิจทันสมัย การค้าก้าวไกลไปกับดิจิทัล ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งหวังผลักดันให้ผู้ประกอบการรายย่อยในยุคดิจิทัล ให้ความรู้ในหลากหลายมิติ สามารถเติบโตอยู่รอดได้ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง

โดยเฉพาะเทคโนโลยี และนวัตกรรมในภาคธุรกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบอัจฉริยะ ไปจนถึงแพลตฟอร์ม ที่เชื่อมโยงให้เกิดการซื้อขายออนไลน์ได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว ซึ่งการงานในครั้งนี้ ผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วยเจ้าของร้านค้าโชห่วย

กลุ่มโอท็อป วิสาหกิจชุมชน นักศึกษา และผู้ที่ขายสินค้าออนไลน์ กว่า 700 คนเข้าร่วมรับฟังในครั้งนี้ เพื่อต่อยอดการขายสินค้าของตัวเองต่อไปในอนาคต.

ครบรอบ 66 ปี อส


นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เดินทางเป็นประธานในพิธีชุมนุมกำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน

ซึ่งตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดี ของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ที่ได้อุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ และเสียสละเพื่อส่วนร่วม


ซึ่งในขณะกองบังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดพัทลุง มีการประกอบกำลัง 12 กองร้อย ประกอบด้วย กำลังพลประจำการ 135 นาย และกำลังพลอาสาสมัครรักษาดินแดนสำรอง 500 นาย

โดยปฏิบัติภารกิจร่วมกับฝ่ายปกครอง ตำรวจและทหาร ในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของจังหวัด ซึ่งมีผลงานดีเด่นที่ผ่านมา ทั้งในด้านการจับคุมยาเสพติด ออกตรวจสถานบริการ ลาดตระเวนพื้นที่ป่าไม้ รวมทั้งการช่วยผู้ประสบสาธารณภัยในพื้นที่จังหวัดพัทลุง


และโอกาสเดียวกันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้มอบเข็มอาสารักษาดินแดนสดุดี มอบทุนการศึกษาแก่บุตรสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จากทุนมูลนิธิกองอาสารักษาดินแดนในพระบรมราชินูปถัมภ์ และทุนกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดพัทลุงที่ 1 พร้อมกับอ่านสารผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน

และตรวจแถวกำลังพลกองร้อยอาสาฯ ที่มาร่วมในพิธี
นอกจากนี้ ได้มีการมอบทุนการศึกษาของสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและทุนสมทบจากส่วนราชการอีกด้วย.

ผช.ผบ.ตร.เร่งลงพื้นที่ หลังผู้ต้องหายิงเปิดฉากใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้ตำรวจมือปราบน้ำดีบาดเจ็บสาหัส

พล.ต.ท.จารุวัฒนะ ไวศยะ ผช.ผบ.ตร.ลงพื้นที่บ้านปากสระ ม.11 ต.ชัยบุรี อ.เมืองพัทลุง หลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ภ.จว.พัทลุง

เข้าปิดล้อมบ้านผู้หาตามหมายจับ และผู้ต้องสงสัยก่อเหตุใช้อาวุธปืนสงครามยิงบ้านเมื่อช่วงหลายวันก่อน ขณะเข้าปิดล้อมบ้านดังกล่าว นาย จักรพงค์ หรือนิว วงค์สม อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาซึ่งอยู่บริเวณในบ้านชั้น 2 ใช้อาวุธปืนเอชเค

จ่อยิง พ.ต.ท.ยุทธศักดิ์ เอี่ยมสุนทร รอง ผู้กำกับการสอบสวน สภ.ควนกาหลง ปฏิบัติราชการช่วย ภ.จว.พัทลุง ได้รับบาดเจ็บบริเวณแก้มด้านขวาฉีกขาดเป็นแผลฉกรรจ์ แขนขวา 1 แผล ก่อนยิงเปิดทางวิ่งหลบหนีไปซ่อนตัวภายในฟาร์มเลี้ยงไก่ของชาวบ้าน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของคนก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้ระดมกำลังกว่า 100 นายเข้าปิดล้อม

ใช้เวลาประมาน4ชั่วโมง ก็สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้สำเร็จ อยู่ในสภาพบาดเจ็บตรงข้อเท้าจากการกระโดดหนีตำรวจ พร้อมอาวุธปืนสงครามเอชเค ที่ใช้ก่อเหตุอีก จำนวน 1กระบอก หลังจากนั้นจึงควบคุมตัวมาตรวจค้นต่อเนื่องที่บ้าน

พบอาวุธปืนสั้น จำนวน 1กระบอก และยาบ้าอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนตรวจยึดไว้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วน นาย จักรพงค์ หรือนิวฯ ผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบ เก็บลายนิ้วมือแฝงเพิ่มเติมอีกด้วย ก่อนหามขึ้นรถเพื่อส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังขยายผลไปควบคุมตัว นายชาญณรงค์ บัวเพชร อายุ 24ปี ในพื้นที่บ้านมะกอกใต้ ม.3 ต.ชัยบุรี อ.เมือง ขณะเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมบ้าน นายชาญณรงค์ฯ ได้วิ่งหลบหนีไปทางด้านหลังบ้าน

ก่อนเจ้าหน้าที่วิ่งไล่ตามควบคุมได้ ตรวจค้นภายในตัวพบยาบ้า จำนวน 2 เม็ด จึงควบคุมตัวค้นบ้าน ซึ่งสังเกตเห็นได้ว่าบริเวณโดยรอบของบ้านมีการติดกล้องวงจรปิดไว้หลายจุดมาก และจากการตรวจค้นภายในบ้านพบเสื้อเกราะกันกระสุนยุทธพันธ์ จำนวน 1 ตัว

ถุงมือสีดำ จำนวน 1 คู่ อาวุธปืนลูกซองพกสั้น จำนวน 1 กระบอก จึงตรวจยึดไว้ตรวจสอบเช่นกัน


นายชาญณรงค์ฯ ผู้ต้องสงสัย ที่นายจักรพงค์ หรือนิว ฯ ให้การซัดทอดว่าร่วมไปก่อเหตุใช้อาวุธปืนสงครามยิงบ้านในพื้นที่ ต.ชัยบุรี เมื่อวันที่ 20 ม.ค.63 ที่ผ่านมา โดยทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้กับนายจักรพงค์ หรือนิว ฯ แต่อย่างไรก็ต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งต่อไป


ส่วนทางด้าน พ.ต.ท.ยุทธศักดิ์ฯ ตำรวจมือปราบน้ำดี ขณะนี้อาการปลอดภัย และได้ส่งตัวไปรักษาอาการต่อยัง รพ.สงขลานครินคร์แล้ว

คุณตาวัย 78ปีพลาดท่าจมน้ำเสียชีวิตขณะมาปลูกผัก

เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง พร้อมด้วยนักปะดาน้ำนับ10ชีวิต เร่งลงพื้นที่ บริเวณคลองประดู่ ในพื้นที่บ้านไสหลวง ม.10 ต.ปันแต อ.ควนขนุน

หลังได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ว่ามีคนจมน้ำสูญหาย
เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุ พบบริเวณลำคลองดังกล่าว ซึ่งมีระดับความลึกของน้ำอยู่ที่ประมาณ 3 เมตร เป็นคลองที่มีการขุดลอกมาได้สักระยะ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำในช่วงหน้าแล้ง


เจ้าหน้าที่นักประดาน้ำใช้เวลาในการค้นหาร่างประมาณ 3 ชั่วโมง ก็พบศพคุณตาไข่ หรือ นายสันติ รามวงค์ อายุ 78 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70 ม.10 ต.ปันแต อ.ควนขนุน ในสภาพศพเปลือยท่อนบน คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ท่ามกลางความเสียใจของญาติและชาวบ้านที่มามุงดูในที่เกิดเหตุนับร้อยคน


เบื้องต้นทางญาติไม่ติดใจประเด็นการเสียชีวิตแต่อย่างใด เพราะคาดว่าผู้ตายน่าจะเป็นลมวูบหมดสติขณะลงไปล้างเนื้อล้างตัว หลังจากปลูกผัก และจุดไฟเผาเศษไม้ในบริเวณดังกล่าว จนเกิดเหตุสลดทำให้เสียชีวิต ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ตายเองก็เป็นคนสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวแต่อย่างใด


และจากการสอบถามญาติ ทราบว่า ผู้ตายได้ออกจากบ้านมาตั้งแต่ช่วงเที่ยงเพื่อมาดุแปลงผัก แปลงพริกขี้หนูที่ปลูกเอาไว้ในจุดดังกล่าวซึ่งจุดที่เกิดเหตุห่างจากบ้านผู้ตายเพียง 400 เมตรเท่านั้น ปกติผู้ตายก็จะออกมาปลูกผักในจุดนี้อยู่เป็นประจำ

บางครั้งถ้าเห็นกิ่งไม้ เศษไม้เที่ยววางไว้กีดขวาง ผู้ตายก็จะอาสาจุดไฟเผาเศษไม้ให้เรียบร้อยเหมือนในทุกๆวัน


จนกระทั่งช่วงเย็น ญาติได้ขับรถผ่านจุดที่ผู้ตายปลูกผักอยู่นั้น สังเกตเห็นรองเท้าและเสื้อผ้าของผู้ตายวางอยู่ริมคลอง แต่ไม่เห็นผู้ตาย ก็คิดว่าผู้ตายน่าจะจมน้ำ

จึงได้ประสานฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ และในระหว่างรอเจ้าหน้าที่ทางญาติก็ได้ลงค้นหาผู้ตายแล้วด้วยแต่ไม่เจอ จนกระทั่งมาเจอเป็นศพจมนำเสียชีวิต
หลังจากเจอศพผู้ตาย และนำร่างขึ้นมาจากคลอง

ทางญาติๆรวมถึงหลานชายก็เข้ามาดูศพ และร้องไห้เสียใจ ส่วนหลานชายของผู้ตายนั่งกอดศพอยู่ไม่ห่างในระหว่างรอเจ้าหน้าที่ตำรวจและแพทย์เวรเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ก่อนมีการส่งศพไปตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการตายอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลควนขนุนต่อไป.

คุมตัวลุงวัย73ปีทำแผน หลังก่อเหตุทุบตีเพื่อนบ้านจนเสียชีวิตและนำร่างโยนทิ้งคลอง อ้างผู้ตายขโมยเงินไป20 บาท

จากกรณีที่มีคนฆ่ากันตาย แล้วมีการโยนร่างผู้ตายลงไปในคลอง เหตุเกิดเมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 26 ม.ค.63 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ ม.7 ต.โตนดด้วน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง

ทราบชื่อผู้ตาย คือ นายศกานต์(สะ-กาน) ชุมไชยโย อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24 ม.7 ต.โตนดด้วน อ.ควนขนุน สภาพศพถูกทุบตีจนมีรอยช้ำตามตัวเต็มไปหมด หลังจากนั้นถูกนำร่างผู้ตายมาโยนทิ้งคลอง บริเวณหน้าบ้านของผู้ตาย จนกระทั่งมีการแจ้งเจ้าหน้าที่เข้างมร่างขึ้นมา พบว่าผู้ตายเสียชีวิตแล้ว


หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งลงพื้นที่ และควบคุมคนก่อเหตุได้ ทราบชื่อคือ นาย เปรม ทองช่วย อายุ 73ปี อยู่บ้านเลขที่ 285 ม.7 ต.โตนดด้วน อ.ควนขนุน ยอมรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุลงมือฆ่า นายศกานต์ฯ ผู้ตายจริง เนื่องจากบันดาลโทสะ ที่ผู้ตายได้ขโมยเงินตนไป จำนวน 20 บาท ก่อนตามไปทวงถามที่บ้านของผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ยอมคืนเงินให้ จึงได้ทำร้ายทุบตีจนผู้ตายสลบ และลากร่างไปโยนทิ้งคลอง


นาย เปรมฯ ผู้ต้องหาเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ตนกับผู้ตายเป็นเพื่อนบ้านกัน และมักมานั่งดื่มกินเหล้ากันอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งวันเกิดเหตุ ผู้ตายได้มาหาตนที่บ้านตั้งแต่เช้า และนั่งดื่มเหล้ากันตั้งแต่เที่ยงวัน

จนกระทั่งเย็น ตนก็ได้ลุกขึ้นเพื่อจะเข้าห้องน้ำ โดยได้ผลัดเปลี่ยนกางเกงตัวที่สวมใส่วางไว้บนแคร่ที่นั่งกินกันอยู่ โดยในกระเป๋ากางเกงนั้นมีเงินสดอยู่ จำนวน 20 บาทอยู่ด้วย และหลังจากตนออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผู้ตายก็ลุกจากแคร่เพื่อกลับบ้าน แต่ระหว่างนั้นตนสังเกตเห็นเงินในกระเป๋าได้หายไปด้วย จึงตามไปทวงถามกับผู้ตาย แต่ผู้ตายปฏิเสธ และไม่ยอมคืนเงินจึงบันดาลโทสะทุบตีผู้ตายไปหลายครั้ง

ก่อนลากร่างไปโยนทิ้งคลอง นายเปรมฯ ผู้ต้องหา บอกอีกว่า หลายครั้งที่ผู้ตายมาดื่มเหล้าที่บ้านมักขโมยเงินของตัวเองเป็นประจำ จนกระทั่งครั้งนี้ จึงบันดาลโทสะก่อเหตุสลดดังกล่าวขึ้น


ในส่วนทางด้าน พล.ต.ต กฤษฎา แก้วจันดี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ในคดีนี้ผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกันกับผู้ก่อเหตุ มีความคุ้นเคยกันดี วันเกิดเหตุก็ได้มานั่งดื่มสุรากัน ก่อนคนก่อเหตุเงินได้หายไป จำนวน 20 บาท

ซึ่งเชื่อว่าผู้ตายเป็นคนขโมยเงินนั้นไป ก่อนตามไปทวงถามแต่ผู้ตายปฏิเสธ จึงบันดาลโทสะและมีการทุบตีกัน สุดท้ายคนก่อเหตุก็ได้เงินคืนกลับมา และลากร่างผู้ตายไปโยนทิ้งคลองหน้าบ้านของผู้ตาย ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าที่เกิดเหตุรวดเร็วจนคุมตัวคนก่อเหตุได้อย่างทันท่วงที เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้น อำพรางศพ.

สุดเศร้า ภรรยาออกไปกรีดยางสามีโทรไปไม่รับสาย ตามไปดูพบกลายเป็นศพนอนกลางสวนยาง

ช่วงประมาณหัวรุ่งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาชัยสน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ชีพ อบต.โคกม่วง เจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง เข้าตรวจสอบบริเวณสวนยางพารา พื้นที่ ม.15 บ.เกาะทองสม ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง หลังได้รับแจ้งว่ามีคนนอนเสียชีวิต เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุ พบร่างนางอุษา ศรีทวี อายุ 30 ปี

ในสภาพสวมเสื้อยืดสีเขียวกางเกงวอมขายาว ใส่รองเท้าบู้ท และมีผ้าคาดศีรษะ ซึ่งเป็นชุดสำหรับกรีดยางนั่นเอง นอนเสียชีวิตอยู่ข้างต้นยาง เบื้องต้นไม่พบบาดแผลการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำร่างของผู้ตายไปให้แพทย์ชันสูตรเพิ่มเติมที่ รพ.เขาชัยสน ต่อไป


จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถาม นายกำธร ศรีทวี อายุ 35 ปี สามีผู้ตายและเป็นคนมาเจอเป็นคนแรก เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนก่อนเกิดเหตุ ตนเลิกงานกลับมาถึงบ้านพักประมานตี 1 ครึ่ง ได้เคาะประตูเรียกนางอุษาฯ ผู้ตาย เพื่อเปิดประตูบ้านให้ หลังจากนั้นผู้ตายก็ยังได้จัดเตรียมอาหารเพื่อให้ตนกินจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกจากบ้านเพื่อไปกรีดยาง

ซึ่งสวนยางก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาน 2 ชม.ซึ่งก็เป็นเวลาปกติ ที่ทางผู้ตายใช้เวลาในการกรีดยางอยู่เป็นประจำในทุกๆวันอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงหัวรุ่งประมานตี 4 เศษๆ ลูกคนเล็กได้ตื่นนอนและร้องไห้

ตนจึงโทรหาผู้ตาย ประมาณ 2 ครั้ง แต่ทางผู้ตายไม่รับสายโทรศัพท์ ตนเห็นผิดสังเกต เพราะปกติโทรหาผู้ตายจะรับสายทุกครั้งที่โทรหากัน หลังจากนั้นตน จึงตัดสินใจขับรถ จยย. ตามมาบริเวณที่ผู้ตายกรีดยางอยู่ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้ตาย ซึ่งเป็นภรรยา นอนอยู่ข้างต้นยาง

รีบเข้าไปดูพบว่าภรรยาไม่หายใจแล้ว จึงรีบโทรประสานแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าผู้ตายน่าจะเป็นลมหมดสติ จนทำให้เสียชีวิตดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามต้องรอผลตรวจชันสูตรสาเหตุการตายจากแพทย์โดยระเอียดอีกครั้งหนึ่ง


และจากการสอบถามน้องสาวและลูกสาวของผู้ตาย เพิ่มเติมทราบว่า ผู้ตายไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด แต่มีประวัติเป็นโรคประจำตัว คือ โรคโลหิตจางเพียงเท่านั้น คาดว่าน่าจะอ่อนเพลีย จนเป็นลมหมดสติและเสียชีวิต อีกอย่างเป็นช่วงที่ออกมากรีดยางจนไม่มีใครเห็นและช่วยเหลือได้ทัน.

แขวงทางหลวงชนบทปิดประกาศขอปิดไฟส่องสว่างชั่วคราว เพื่อให้ข้าวของชาวนาได้ออกรวง

ทีมข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ ไปตามถนนสายไสยวน-ควนปริง ในพื้นที่ ม.3 ต.พนมวังก์ อ.ควนขนุน เมื่อไปถึงจุดดังกล่าวพบป้ายไวนิลสีขาว จำนวน 1 ป้าย เป็นป้ายปิดประกาศของแขวงทางหลวงชนบทพัทลุง ขอดับไฟฟ้าส่องสว่างข้างทางชั่วคราว ประมาณ 15 วัน “เนื่องจากข้าวไม่ออกรวง” พบที่นาบางแปลงไม่มีรวงข้าวจริง แต่มองไปแปลงนาผืนใกล้เคียงพบตั้งท้องออกรวงที่รอการเก็บเกี่ยว ทีมข่าวจึงเดินทางไปยังแปลงนาของเกษตรกรเพื่อสอบถามที่มาของป้ายดังกล่าว

นางสาวกาญจนา แก้วเรือง อายุ 42 ปี ชาวนาในพื้นที่ เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ถนนสายดังกล่าวไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง และเมื่อช่วงปีที่แล้ว มีการปรับปรุงขยายเส้นทาง และมีการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างขึ้น เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางที่สัญจรไปมา แต่หลังจากที่มีการติดตั้งไฟส่องสว่าง ส่งผลกระทบกับเกษตรกรที่ปลูกผัก ทำนา

เนื่องจากแสงจากไฟฟ้าส่องสว่างทำให้ต้นกล้าของข้าว เจริญเติบโตไม่เต็มที่ ข้าวที่ชาวนาปลูกก็ไม่มีการตั้งท้องออกรวง ทั้งๆที่แปลงนาแปลงอื่นที่อยู่ติดกัน แต่แสงไฟฟ้าส่องสว่างไปไม่ถึง กลับตั้งท้องออกรวงได้ตามปกติ ทางเกษตรกรผู้ทำนาในพื้นที่ จำนวน 7 ราย จึงได้ประสานขอความช่วยเหลือไปยังแขวงทางหลวงชนบทพัทลุง ขอดับไฟฟ้าส่องสว่างข้างทางชั่วคราว เพื่อให้ข้าวได้ตั้งท้องออกรวง


เกษตรกรชาวนาอีกรายที่อยู่ในพื้นที่ คือ นายนิตย์ แก้วเรือง อายุ 71ปี บอกว่า ทราบดีว่าการปิดไฟฟ้าส่องสว่างอาจกระทบกับบุคคลใช้ถนนเส้นทางดังกล่าว แต่ขอความกรุณาผู้ใช้ถนน ขอปิดไฟฟ้าชั่วคราว เพื่อให้ชาวนาได้พอมีหวังว่าข้าวจะออกรวง เพราะมีการลงทุนไปมากแล้ว แต่โอกาสที่จะได้ผลคงยาก เพราะแปลงนาที่ว่าถ้าจะให้ได้ผลจริงต้องห้ามมีไฟฟ้าส่องสว่างก่อนหน้าที่ข้าวจะออกรวง 4 ถึง 5 เดือน ซึ่งไม่สามรถปิดไฟฟ้าส่องสว่างเป็นเวลานานแบนั้นได้

แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบลองเปลี่ยนสีของไฟฟ้าส่องสว่างในจุดดังกล่าว จากดวงไฟสีส้มเป็นสีขาว เพราะคิดว่าสีของไฟฟ้าส่องสว่างน่าจะมีผลทำให้ต้นข้าวไม่ออกรวง แต่ก็ยังไม่ยืนยันแน่ชัดว่าหากเปลี่ยนสีแล้วจะได้ผลที่ดีขึ้นหรือไม่ ส่วนชาวนาบางราย ถึงกับหมดหวังถอดใจนำต้นข้าวที่ไม่ออกรวงไปให้วัวกิน วัวก็ไม่กินอีก เนื่องจากต้นข้าวดังกล่าวมีความแข็งกว่าต้นข้าวปกติ


ทางด้าน นางสาวชนิดา ฆังคะจิตร(คัง-คะ-จิด) แขวงทางหลวงชนบทพัทลุง กล่าวว่า ป้ายดังกล่าวทางแขวงฯ ได้นำไปปิดประกาศไว้จริง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการร้องขอจากชาวบ้านในพื้นที่ ทางแขวงฯ ก็ให้เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจ พร้อมปิดป้ายประกาศตามที่ชาวบ้านร้องขอ โดยปกติแล้วทางแขวงฯก็ยินดีรับฟัง และพร้อมแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อนในทุกพื้นที่อยู่แล้ว ซึ่งในจุดดังกล่าว ทางแขวงฯ ได้ดำเนินการปิดคัตเอาต์เสาไฟฟ้าส่องสว่างไป จำนวน 5 ต้น ระยะเวลาประมาณ 15 วัน แต่หลังจากนี้ก็ต้องเปิดใช้ไฟฟ้าส่องสว่างตามปกติ เพราะจุดดังกล่าวเองก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน หากปิดไฟฟ้าส่องสว่างเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของผู้ใช้ถนนเส้นทางสายนี้ได้


นางสาวชนิดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่จะ มีการปรับปรุงขยายเส้นทางและติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างนี้ ก็มีการลงพื้นที่ทำประชาคมกับชาวบ้านในพื้นที่ก่อนแล้ว แต่ทางเกษตรกรคงคาดไม่ถึงไปว่าแสงไฟ จากไฟฟ้าส่องสว่างมีผลกระทบต่อพืชพันธุ์ทางเกษตร ซึ่งทางแขวงฯเองก็ไม่ทราบถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายทั้งชาวนาและเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องก็จะเร่งหามาตรการแก้ปัญหาระยะยาวให้กับเกษตรชาวนาทั้ง 7 ราย บนผืนนากว่า 10ไร่ ที่ประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ต่อไป.