พบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มอีก2ราย ล่าสุดพัทลุงติดเชื้อรวม 12ราย ด้าน จนท.ในพื้นที่เสี่ยงของ อ.กงหราและจุดตรวจต้องทำงานอย่างหนัก

สถานการณ์โรคโควิด–19 ในพื้นที่จ.พัทลุงล่าสุด พบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อกลับมาจากพื้นที่เสี่ยง 3 จังหวัดชายแดนใต้ จากการร่วมพิธีทางศาสนา ซึ่งล่าสุดวันนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มอีก 2 ราย พื้นที่อำเภอกงหรา

รวมยอดผู้ป่วยติดเชื้อแล้ว ขณะนี้จำนวน 12 ราย และในจำนวนดังกล่าวทีมแพทย์รักษาหายกลับบ้านแล้วจำนวน 6 ราย อีกจำนวน 6 รายยังคงเข้าได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐ เบื้องต้นผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวนั้นมีอาการไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ขณะที่หลายตำบลในอำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิด–19 มากที่สุดจำนวน 5 ราย ของจังหวัดพัทลุงนั้น ผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำตำบล ต่างหามาตรการในการป้องกันเพิ่มเติมจากประกาศของจังหวัดพัทลุง โดยมีหมู่บ้านเกือบทุกหมู่บ้านของอำเภอกงหราปิดห้ามเข้า ออก ผู้ที่เข้า ออก ต้องได้รับอนุญาตจากผู้นำหมู่บ้านเท่านั้น เช่นที่หมู่ 14 บ้านคูเหนือ ตำบลคลองเฉลิม อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ผู้เดินทางเข้า ออก หมู่บ้านต้องผ่านจุดตรวจที่เดียวเท่านั้น ส่วนเส้นทางเข้า ออก จุดอื่นปิดตาย

ขณะผ่านจุดตรวจสวมหน้ากากอนามัยและต้องวัดไข้ทุกราย หากพบไข้สูงต้องไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อตรวจเช็ดอาการก่อนเข้าหมู่บ้าน

สำหรับจุดตรวจรอยต่อระหว่างจังหวัดนั้นวันนี้ ยังคงมีประชาชนต้องเดินทางออกจังหวัดพัทลุงเป็นจำนวนมากตั้งแต่เช้า โดยเข้าแถวยื่นใบขออนุญาตผ่านจุดตรวจและขอเข้ากลับมายังพื้นที่จังหวัดพัทลุง ในเย็นของวันนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ยังจังหวัดใกล้เคียง

ซึ่งเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจต้องทำงานอย่างหนักในการอนุญาตแต่ละรายให้ออกนอกพื้นที่เท่าที่มีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น เนื่องจากประกาศของจังหวัดพัทลุงประกาศปิดเมืองห้ามเข้า ออก ตั้งแต่วันที่ 6 – วันที่ 16 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังเข้มงวดในการวัดไข้ทั้งผู้ที่ขออนุญาตเดินทางออกนอกจังหวัดและเข้าจังหวัด

แบบไทยไดรว์ทรู บริการเลี้ยวรับความอร่อย ตอบโจทย์นักกินช่วงโควิด-19ได้เป็นอย่างดี

ร้านแบบไทย ตั้งอยู่ริมถนนสายเอเชียฝั่งขาขึ้นทางไปหาดใหญ่ เปิดบริการอาหารและเครื่องดื่ม หลังจากเจอกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ร้านอาหาร ต่างได้รับผลกระทบไปตามๆกัน ลูกค้าเข้าใช้บริการลดน้อยลง ทางร้านแบบไทยจึงมีแนวคิดปรับกลยุทธ์การขายแบบ DRIVE THRU(ไดรว์ทรู) ขึ้น โดยผ่านนิยามแบบไทย DRIVE THRU(ไดรว์ทรู) บริการเลี้ยวรับความอร่อย สั่ง จ่าย รับกลับบ้านได้เลย สะดวก ปลอดภัย และลดการติดเชื้อโควิด-19 ได้ด้วย


นางเพียงใจ จันทร์สว่าง อายุ 49 ปี เจ้าของร้านแบบไทย เล่าว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ลูกค้าลดลง ตนจึงคิดวิธีการสั่งอาหารแบบใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่เรียกว่า DRIVE THRU(ไดรว์ทรู) เลี้ยวรับความอร่อย มารับของถึงหน้าร้าน โดยนำกลับไปทานที่บ้าน สั่งปุ๊บลูกค้าก็สามารถนั่งรอในรถได้เลย โดยมีวิธีการสั่งแบบง่ายๆ คือ เมื่อลูกค้าขับรถมาถึงหน้าร้าน ส่งสัญญาณด้วยการบีบแตรรถ ก็จะมีพนักงานออกมาบริการรับออเดอร์ถึงรถ จากนั้นให้ลูกค้าไปรอในจุดรอรับอาหารประมาณ 15 นาที โดยไม่ต้องลงจากรถ ก็สามารถรับอาหารไปทานกันได้ง่ายๆที่บ้านได้เลย

บริการ DRIVE THRU(ไดรว์ทรู)ของร้านแบบไทยนี้ ถือเป็นการบริการรายแรกของ จ.พัทลุงอีกด้วย


และสำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ จ.พัทลุง ล่าสุดมียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจาก 6 รายเป็น 10 รายแล้ว ผู้ป่วย 6 รายเดิมรักษาหายกลับไปกักตัวต่อเนื่องที่บ้านได้แล้ว ส่วนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทั้ง4 รายเป็นชายทั้งหมด พบอยู่ในกลุ่มของผู้สูงอายุ ช่วงอายุระหว่าง 47 ปีถึง อายุ 62 ปี อยู่ในพื้นที่ อ.ป่าบอน และ อ.ปากพะยูน พบประวัติผู้ป่วยทั้ง 4 ราย ได้เดินทางไปร่วมประกอบพิธีทางศาสนาที่ จ.ยะลา ก่อนกลับบ้านจนมีไข้ และตรวจพบเชื้อดังกล่าว.

ตร.บุกจับพนันโปปั่น นักพนันอ้างหารายได้หลังตกงานช่วงโควิด-19 เจอสองข้อหาหนักฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วย พ.ต.ต.ทวี สุขพูล และ ร.ต.อ.จำเริญ อินแก้ว นำกำลังชุดปฏิบัติการ การข่าวและความมั่นคง ชุดปฏิบัติการ 3 กก.สส.ภจว.พัทลุง บุกรวบนักพนันโปปั่น ได้ จำนวน 7 ราย

วิ่งหลบหนีไปได้ 2 ราย หลังลักลอบเล่นการพนันชนิดโปปั่น กันบริเวณสวนปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่ บ.ตำนาน ม.11 ต.ตำนาน อ.เมือง จ.พัทลุง ก่อนควบคุมตัวนักพนันทั้งหมด พร้อมด้วยของกลางเป็นอุปกรณ์การเล่นโปปั่น 1 ชุด แท่งทองเหลืองพร้อมลูกโปปั่น จำนวน 1 ชุด เงินสด และชิปแทนเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดที่จัดเตรียมสำหรับการเล่นพนันโปปั่น ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ผลการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากมีการสืบทราบว่า ในพื้นที่ดังกล่าวได้มีนักพนันเข้ามาลักลอบเล่นการพนันอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้จะมีการประกาศสั่งห้าม ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วก็ตาม


จากการได้พูดคุยกับนักพนันส่วนใหญ่ที่ถูกจับกุม ว่าทราบถึงประกาศสั่งห้ามรวมกลุ่ม มั่วสุมเล่นการพนันกันหรือไม่ ทุกคนตอบต่างทราบกันดี แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกัน เพราะนักพนันที่มาเล่นพนันส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง พอได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติโควิด-19 ก็ไม่รู้จะไปหารายได้จากที่ไหน จึงต้องมาลักลอบเล่นการพนันกัน โดยอ้างว่าเพื่อต้องการหารายได้เลี้ยงครอบครัวในช่วงตกงานจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตามนักพนันทั้งหมด ก็ถูกแจ้ง 2 ข้อหาหนัก คือ ร่วมกับพวกที่หลบหนีลักลอบเล่นการพนันโปปั่น พนันเอาทรัพย์สินกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548.

ตร.รวบหนุ่มวัย 30 ปีเร่ขายยาเสพติดบนรถไฟ ทั้งน้ำต้มพืชกระท่อม ยาบ้า และไอซ์ ฉายาปานครบวงจร

พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วย ร.ต.อ.จำเริญ อินแก้ว และ ร.ต.ท.นิติภูมิ แสงประดับ นำกำลังชุดปฏิบัติการ การข่าวและความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ชุด ฉก.ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง บุกเข้าตรวจค้นบ้านของนายจักรกฤษ หรือปาน พรหมเดช อายุ 30 ปี ในพื้นที่ชุมชนท่าเรือ ถ.เจริญดิษฐ์อินทร์ ต.คูหาสวรรค์ จ.พัทลุง พร้อมด้วยของกลางยาเสพติดทั้งน้ำต้มพืชกระท่อม ยาบ้า และไอซ์ ในสภาพเตรียมรอส่งขายให้ลูกค้า


หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้รับแจ้งว่าเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว แอบลักลอบขายยาเสพติดแบบครบวงจรมานาน ส่วนใหญ่จะแอบลักลอบนำยาเสพติดขึ้นไปขายบนรถไฟในช่วงเย็นถึงค่ำของทุกวัน เคยถูกเจ้าหน้าที่ขอตรวจค้นบ้านมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยค้นพบยาเสพติด หรือสิ่งผิดกฎหมายใดๆ จนกระทั่งล่าสุดมาจนมุมเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยของกลางแบบครบวงจร ทั้งน้ำต้มพืชกระท่อม ยาบ้า และไอซ์ พร้อมอุปกรณ์การเสพจำนวนมาก


นายจักรกฤษ หรือปาน ฯ ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า ของกลางที่พบทั้งหมดเป็นของตนเองจริง ได้รับซื้อมาจากเพื่อนที่รู้จักกันบนรถไฟ หลังจากนั้นก็มีการติดต่อซื้อขายยาเสพติดกันมาโดยตลอด โดยจะนัดรับของกันบนรถไฟ และก็นำยาเสพติดทั้งหมดกลับไปเร่ขายบนรถไฟอีกครั้ง ได้กำไรวันหนึ่งหลายพันบาท โดยอ้างว่ากำไรจากการขายยาเสพติดทั้งหมดนั้น นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว เนื่องจากก่อนหน้านี้แม่ของตนก็เคยขายไก่ย่างอยู่บนรถไฟเช่นกัน แต่ระยะหลังเริ่มแก่ตัว และสายตาไม่ดีจึงหยุดขายของดังกล่าว ตนรับช่วงต่อแต่เปลี่ยนสินค้าจากไก่ย่างเป็นยาเสพติดแบบครบวงจรแทน


อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมก็จะเร่งสอบสวนผู้ต้องหา เพื่อขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่วนนายจักรกฤษ หรือปาน ฯ ผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวพร้อมแจ้ง 4 ข้อหาหนัก ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

ผู้ว่าราชการเตรียมสั่งปิดจังหวัด ดีเดย์เริ่มหลังเที่ยงคืนวันที่ 5 เม.ย.นี้

นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เรียกประชุมด่วนคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วยนายอำเภอทั้ง 11 อำเภอ และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง นายกเทศมนตรีเมืองพัทลุง ถึงสถานการณ์โรคโควิด – 19 ที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ เพื่อควบคุมยับยั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ซึ่งขณะนี้ทางจังหวัดพัทลุง มียอดผู้ป่วยติดเชื้อ จำนวน 6 ราย และทั้ง 6 รายได้รับการรักษาหาย และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านไปกักตัวต่อเนื่องที่บ้านได้แล้วทั้งหมด


หลังจากการประชุม มีมติให้สั่งปิดจังหวัด ซึ่งทางจังหวัดได้ออกประกาศตามคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพัทลุง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด –19 ไม่ให้ลุกลามเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหาย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนอย่างร้ายแรงได้ ดีเดย์เริ่มตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 5 เม.ย.63 ถึง 16 เม.ย.63 นี้


หลังสั่งปิดจังหวัดแล้ว รถทุกชนิดยังสามารถผ่านจังหวัดพัทลุงได้ตลอดเส้นทาง แต่ ห้ามส่งผู้โดยสารและบุคคลต่างจังหวัด ลงอย่างเด็ดขาด รวมถึงขบวนรถไฟที่วิ่งผ่านจังหวัดพัทลุง ก็ห้ามจอดรับส่งผู้โดยสารทุกสถานี ทั้งนี้เพื่อให้พื้นที่จังหวัดพัทลุงปลอดภัยจากเชื้อโรค หลังจากที่มีผู้ป่วยติดเชื้อรักษาหายดีแล้วทั้งหมด และเพื่อเป็นการป้องกันโรค ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการขนส่งสินค้าที่จำเป็น สินค้าอุปโภค – บริโภค อุปกรณ์เครื่องมือเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ แต่สามารถจอดเคลื่อนย้ายสินค้า อุปกรณ์ทางด้านการแพทย์ ได้ ทั้งนี้ผู้ได้รับการยกเว้นต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดไว้


และนอกจากนี้ ยังมีตัวแทนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่งมอบแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซ็นต์ ให้กับจังหวัดพัทลุงจำนวน 100 ลิตร เพื่อนำแอลกอฮอล์จำนวนดังกล่าว ไปแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อต่อสู้โรคโควิด-19 ไปด้วยกัน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตามจุดตรวจคัดกรองระหว่างรอยต่อจังหวัด และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลต่างๆในพื้นที่ของจังหวัดพัทลุงด้วย.

อุกอาจ คนร้ายบุกยิงคุณตาวัย 76 ปีเสียชีวิตคาเตียงนอน

เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง และ พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในชุด และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทะเลน้อย เร่งเข้าตรวจสอบในพื้นที่บ้านหน้าควน บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 315 ม. 3 ต.พนาตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง

หลังได้รับแจ้งว่ามีคนร้าย บุกยิงคุณตาวัย 76 ปีเสียชีวิต เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบร่างผู้เสียชีวิต ทราบชื่อ คือ นายเฉลียว จันทร์ดำ อายุ 76 ปี เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว นอนหงายหน้าเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอน ในสภาพนุ่งผ้าสโร่งแค่ผืนเดียว พบบาดแผลถูกยิงเข้าบริเวณ คอ หน้าท้อง จำนวนหลายนัด


ในที่เกิดเหตุพบร่องรอยรูกระสุนบริเวณกระจกบานเลื่อนหน้าบ้าน จำนวนหลายจุด เศษกระจกแตกเกลื่อนพื้นบ้าน และนอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบเศษชิ้นส่วนหัวกระสุน ตกอยู่ในที่เกิดเหตุอีก จำนวน 9 ชิ้น จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบต่อไป


และจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้สอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเพิ่งเดินทางกลับจากการรดน้ำศพญาติในวัดควนพนางตุง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผู้ตายไม่มากนัก หลังจากนั้นก็เข้าบ้านอาบน้ำเตรียมเข้านอน สักพักไม่นาน เพื่อนบ้านก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นประมาณ 6 นัด จนกระทั่งมาทราบข่าวการเสียชีวิต


อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้สอบถามภรรยา และหลานสาวผู้ตายซึ่งอยู่ในบ้านขณะเกิดเหตุ ภรรยาบอกว่าตอนนั้นตนอยู่ในห้องน้ำไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินแต่เสียงปืน ส่วนหลานสาวของผู้ตายอายุ ประมาณ 20 กว่าปี ก็ยังอยู่ในอาการตกใจ และไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมากนัก


ส่วนสาเหตุเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งประเด็นความขัดแย้งส่วนตัวไว้ก่อน แต่ก็จะเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางใกล้จุดเกิดเหตุ รวมถึงเรียกบุคคลใกล้ชิดผู้ตายไปสวบสวนเพิ่มเติม เพื่อติดตามตัวคนร้าย และหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง.

หนุ่มใหญ่วัย 57ปี ลงวางกัดหาปลาคาดเป็นตะกริวจมน้ำเสียชีวิต

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ควนขนุน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่และอาสากู้ภัยพัทลุง เร่งเข้าตรวจสอบบริเวณริมคลอง ในพื้นที่ชุมชนโคกหม้อ ม.1 ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ระดับความลึกของน้ำในคลองประมาณ 5 เมตร หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบร่างคนจมน้ำ เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุ

พบร่างของนายบุญเชื้อ จันศรีแก้ว อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 344 ม. 1 ต.มะกอกเหนือ ในสภาพร่างจมน้ำ มองเห็นแค่ศีรษะที่เริ่มโผล่ขึ้นเหนือน้ำ ก่อนเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยพัทลุง จำนวน 2 นาย ลงไปช่วยกันนำร่างผู้ตายขึ้นมาจากน้ำ สภาพศพนุ่งเพียงกางเกงขายาว สภาพศพเริ่มแข็ง คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง


หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ตรวจสอบบริเวณขนำ ที่ด้านหน้าของขนำซึ่งสร้างเป็นที่สำหรับยกยอ และจากการตรวจค้นในขนำไม่พบร่องรอยการรื้อค้น หรือร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด พบเพียงแก้วน้ำและขวดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น


และจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถาม นายประเทือง สุดจันทร์ อายุ 48 ปี เพื่อนบ้านของผู้ตาย เล่าว่า เมื่อช่วงค่ำของคืนวันที่ 28 มี.ค.63 ที่ผ่านมา ตนและผู้ตายพร้อมเพื่อนบ้านอีกคน ได้นั่งดื่มกินตามปกติในทุกๆวัน หลังจากนั้นประมาณ 2 ทุ่มเศษ ผู้ตายบอกว่าจะขอลงไปวางกัดหาปลาในคลองบริเวณดังกล่าวก่อนกลับบ้าน อีกอย่างบ้านของผู้ตายอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตรเท่านั้น หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน


จนกระทั่งเวลาประมาณตี 1 ของคืนเดียวกัน แม่ของผู้ตายวัย 80ปี เห็นลูกชายยังไม่กลับบ้าน จึงออกมาตามบริเวณขนำ แต่ไม่พบผู้ตาย แต่สังเกตเห็นไฟในขนำยังคงเปิดอยู่เลยไม่สงสัยอะไร กลับบ้านไปนอน จนมาทราบข่าวอีกทีว่าลูกชายจมน้ำเสียชีวิตแล้วดังกล่าว
ส่วนสาเหตุในเบื้องต้น คาดว่าผู้ตายน่าจะเป็นตะคริวในระหว่างลงน้ำเพื่อวางกัดหาปลา

จึงทำให้จมน้ำเสียชีวิต แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่และญาติผู้ตาย ก็จะนำร่างผู้เสียชีวิตไปชันสูตรเพิ่มเติมยังโรงพยาบาลควนขนุน เพื่อหาสาเหตุการตายที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่งต่อไป.

หนุ่มวัย31ปีเร่งทำหน้ากากเฟสชิว แจกฟรีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสู้วิกฤติโควิด-19

นายนันทพงษ์ บุญโยม อายุ 31 ปี เจ้าของร้านบ้านมีเดียโปรดักชั่น ร้านตั้งอยู่ในพื้นที่เขตเทศบาลเมือง ถ.อภัยบริรักษ์ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมืองพัทลุง พร้อมด้วยสมาชิกในครอบครัว เร่งทำหน้ากากเฟสชิว(Face shield) เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ตามโรงพยาบาลในพื้นที่ จ.พัทลุง รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่กู้ภัย หรือบุคคลที่ต้องทำงานเสี่ยงกับการติดเชื้อโรคโควิด-19 ซึ่งตั้งเป้าที่จะนำไปแจกจ่ายให้ฟรีถึง 300 ชิ้น


ซึ่งก่อนหน้านี้ นายนันทพงษ์ ฯ ก็ได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวที่ชื่อว่า “นันทพงษ์ บุญโยม “ถึงเจ้าหน้าที่และบุคคลที่สนใจรับหน้ากากเฟสชิว จนมีเจ้าหน้าที่ติดต่อขอรับหน้ากากดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก จึงคิดกันกับครอบครัวว่าจะทำหน้ากากเฟสชิวแจกจ่ายแก่เจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ ที่โรงพยาบาลที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยและมีความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่มากที่สุด อีกทั้งก่อนหน้านี้ ตนเองก็เปิดร้านรับทำงานป้ายอยู่ก่อนแล้วด้วย จึงพอที่จะมีอุปกรณ์ในการทำหน้ากากเฟสชิว ไม่ว่าจะเป็นแผ่นพลาสวูด เครื่องตัดฉลุ แผ่นโฟม และกระดาษปกแบบใสเองก็ตาม จึงได้คิดเริ่มทำหน้ากากเฟสชิวมาตั้งแต่ วันที่ 26 มี.ค.63 ที่ผ่านมา

นายนันทพงษ์ ฯ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จริงๆแล้วสำหรับใครที่จะใช้เองก็สามารถทำได้ง่ายๆ ต้นทุนต่อชิ้นก็ไม่มาก ใช้งบประมาณ 20 บาทต่อชิ้น ใช้เวลาทำก็ประมาณ 5 ถึง 7 นาทีเท่านั้น


ล่าสุด หลังจากมีเจ้าหน้าที่ ผู้คนที่ทราบข่าว เดินทางเข้ามาขอรับหน้ากากเฟสชิวที่ร้านกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง และในวันจันทร์ที่ 30 มี.ค.63 นี้ ก็จะนำหน้ากากเฟสชิว จำนวน 50 ชิ้น ไปให้เจ้าหน้าที่ ที่โรงพยาบาลพัทลุงต่อไป
และสำหรับใครที่สนใจ

หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ หรือมีความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องการรับหน้ากากเฟสชิว ก็สามารถติดต่อ นายนันทพงษ์ฯ ผ่านหน้าเฟสบุ๊ค “นันทพงษ์ บุญโยม “ หรือเข้าไปติดต่อที่ร้านบ้านมีเดียฯ ได้ตลอด หรือจนกว่าของจะหมด.

รวบยกแก๊ง มือปืนที่ก่อเหตุยิงผู้ใหญ่บ้านน้ำดีเสียชีวิตในพื้นที่ อ.กงหราเมื่อสามเดือนก่อน พร้อมคุมตัวชี้จุดเกิดเหตุ

จากกรณีที่มีกลุ่มคนร้ายได้ร่วมกันก่อเหตุ อย่างอุกอาจบุกยิง นายสราวุธ นะแหล่ อายุ 46 ปี ผู้ใหญ่บ้านน้ำดีในพื้นที่ ม.8 เสียชีวิต ขณะไปเลี้ยงแพะกลางสวนยางพารา ในพื้นที่บ้าน

หน้าวัง ม.8 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา

เหตุเกิดช่วงค่ำของคืนวันที่ 10 ธ.ค.62 ที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทุกชุด ได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด จนกระทั่งทราบเบาะแส และรวบรวมพยานหลักฐาน จนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุได้ทั้งหมดยกแก๊ง รวม 3 ราย


และในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 25 มี.ค.63 ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วย พ.ต.ท.ไชยา กำเหนิดฤทธิ์ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.นิกร ปานแก้ว รอง ผกก.สส.สภ.กงหรา และ พ.ต.ท.ยุทธศักดิ์ เอี่ยมสุนทร รอง ผกก.ฯ ปฏิบัติราชการ กก.สส.ภ.จว.พัทลุง เปิดปฏิบัติการ นำกำลังชุดปฏิบัติการข่าวและความมั่นคง กก.สส. ชุดวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมีพิเศษ กก.สส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.กงหรา เกือบ 50 นาย เข้าปิดล้อมพื้นที่เป้าหมาย จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ จำนวน 3 ราย คือ 1.นายพรสุริยา หรือเจี๊ยบ ชูคง อายุ 40 ปี 2.นายเอกชัย หรืออาร์ม ณ พัทลุง อายุ 31 ปี ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ และ 3.น.ส.สิริยาหรือจุก สะแหละ อายุ 50 ปี ในความผิดฐานจ้างวานฆ่าผู้อื่นฯ


ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุบริเวณบ้านหน้าวัง ม.8 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา โดยเริ่มตั้งแต่จุดวางแผนก่อเหตุบริเวณสนามชนไก่ในพื้นที่ จุดซ่อนปืนที่ทางผู้ต้องหาอ้างว่านำอาวุธปืนมาวางไว้สำหรับก่อเหตุ
ทางด้าน พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า หลังจากจับกุม และมีการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 3 รายให้การรับสารภาพ ว่าใครทำหน้าที่อะไร ส่วนมูลเหตุเกิดจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างผู้ตาย และ น.ส.สิริยาหรือจุกฯ ผู้ต้องหา ที่มีสะสมมานาน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง จึงไหว้วานผู้ต้องหาอีก 2 รายซึ่งรู้จักกันมาก่อน ร่วมกันก่อเหตุดังกล่าวขึ้น.

ผู้การเมืองลุงเร่งลงพื้นที่เหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มบ้านลุงวัย 69 ปี พร้อมให้กำลังใจครอบครัว

เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี ผบก.ภ.จว.พัทลุง พร้อมด้วย
พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผกก.สส.ภ.จว.พัทลุง และชุดปฏิบัติการ การข่าวและความมั่นคง กก.สส.ฯ ชุดสืบสวน สภ.ลำปำ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุอุกอาจ ที่คนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามบุกยิงบ้านของลุง ละเอียด ภัยมณี อายุ 69ปี บ้านเลขที่ 49 ซ.30 ถ.อภัยบริรักษ์ ต.ลำปำ อ.เมืองพัทลุง อีกครั้งหลังเกิดเหตุเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา


ทั้งนี้เพื่อลงให้กำลังใจครอบครัวของลุงวัย 69ปีด้วย พร้อมเร่งจัดชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายผ่านไปมาในช่วงก่อเหตุ

ส่วนปมความขัดแย้งเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่คาดว่า น่าจะมาจากความขัดแย้งส่วนตัวของลูกๆของลุง ซึ่งทราบว่าก่อนหน้านี้ลูกสาวของลุงเคยไปกู้ยืมเงินมา แต่ยังไม่ใช้คืน หรือประเด็นของลูกชายลุงที่เข้าไปช่วยเหลือเหตุรถชน ทำให้ทางคู่กรณีอีกฝ่ายไม่พอใจก็เป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องสืบสวน สอบถามพยานแวดล้อมในที่เกิดเหตุและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดี และหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง