คุมตัวลุงวัย73ปีทำแผน หลังก่อเหตุทุบตีเพื่อนบ้านจนเสียชีวิตและนำร่างโยนทิ้งคลอง อ้างผู้ตายขโมยเงินไป20 บาท

จากกรณีที่มีคนฆ่ากันตาย แล้วมีการโยนร่างผู้ตายลงไปในคลอง เหตุเกิดเมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 26 ม.ค.63 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ ม.7 ต.โตนดด้วน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง

ทราบชื่อผู้ตาย คือ นายศกานต์(สะ-กาน) ชุมไชยโย อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24 ม.7 ต.โตนดด้วน อ.ควนขนุน สภาพศพถูกทุบตีจนมีรอยช้ำตามตัวเต็มไปหมด หลังจากนั้นถูกนำร่างผู้ตายมาโยนทิ้งคลอง บริเวณหน้าบ้านของผู้ตาย จนกระทั่งมีการแจ้งเจ้าหน้าที่เข้างมร่างขึ้นมา พบว่าผู้ตายเสียชีวิตแล้ว


หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งลงพื้นที่ และควบคุมคนก่อเหตุได้ ทราบชื่อคือ นาย เปรม ทองช่วย อายุ 73ปี อยู่บ้านเลขที่ 285 ม.7 ต.โตนดด้วน อ.ควนขนุน ยอมรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุลงมือฆ่า นายศกานต์ฯ ผู้ตายจริง เนื่องจากบันดาลโทสะ ที่ผู้ตายได้ขโมยเงินตนไป จำนวน 20 บาท ก่อนตามไปทวงถามที่บ้านของผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ยอมคืนเงินให้ จึงได้ทำร้ายทุบตีจนผู้ตายสลบ และลากร่างไปโยนทิ้งคลอง


นาย เปรมฯ ผู้ต้องหาเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ตนกับผู้ตายเป็นเพื่อนบ้านกัน และมักมานั่งดื่มกินเหล้ากันอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งวันเกิดเหตุ ผู้ตายได้มาหาตนที่บ้านตั้งแต่เช้า และนั่งดื่มเหล้ากันตั้งแต่เที่ยงวัน

จนกระทั่งเย็น ตนก็ได้ลุกขึ้นเพื่อจะเข้าห้องน้ำ โดยได้ผลัดเปลี่ยนกางเกงตัวที่สวมใส่วางไว้บนแคร่ที่นั่งกินกันอยู่ โดยในกระเป๋ากางเกงนั้นมีเงินสดอยู่ จำนวน 20 บาทอยู่ด้วย และหลังจากตนออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผู้ตายก็ลุกจากแคร่เพื่อกลับบ้าน แต่ระหว่างนั้นตนสังเกตเห็นเงินในกระเป๋าได้หายไปด้วย จึงตามไปทวงถามกับผู้ตาย แต่ผู้ตายปฏิเสธ และไม่ยอมคืนเงินจึงบันดาลโทสะทุบตีผู้ตายไปหลายครั้ง

ก่อนลากร่างไปโยนทิ้งคลอง นายเปรมฯ ผู้ต้องหา บอกอีกว่า หลายครั้งที่ผู้ตายมาดื่มเหล้าที่บ้านมักขโมยเงินของตัวเองเป็นประจำ จนกระทั่งครั้งนี้ จึงบันดาลโทสะก่อเหตุสลดดังกล่าวขึ้น


ในส่วนทางด้าน พล.ต.ต กฤษฎา แก้วจันดี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ในคดีนี้ผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกันกับผู้ก่อเหตุ มีความคุ้นเคยกันดี วันเกิดเหตุก็ได้มานั่งดื่มสุรากัน ก่อนคนก่อเหตุเงินได้หายไป จำนวน 20 บาท

ซึ่งเชื่อว่าผู้ตายเป็นคนขโมยเงินนั้นไป ก่อนตามไปทวงถามแต่ผู้ตายปฏิเสธ จึงบันดาลโทสะและมีการทุบตีกัน สุดท้ายคนก่อเหตุก็ได้เงินคืนกลับมา และลากร่างผู้ตายไปโยนทิ้งคลองหน้าบ้านของผู้ตาย ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าที่เกิดเหตุรวดเร็วจนคุมตัวคนก่อเหตุได้อย่างทันท่วงที เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้น อำพรางศพ.

สุดเศร้า ภรรยาออกไปกรีดยางสามีโทรไปไม่รับสาย ตามไปดูพบกลายเป็นศพนอนกลางสวนยาง

ช่วงประมาณหัวรุ่งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาชัยสน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ชีพ อบต.โคกม่วง เจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง เข้าตรวจสอบบริเวณสวนยางพารา พื้นที่ ม.15 บ.เกาะทองสม ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง หลังได้รับแจ้งว่ามีคนนอนเสียชีวิต เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุ พบร่างนางอุษา ศรีทวี อายุ 30 ปี

ในสภาพสวมเสื้อยืดสีเขียวกางเกงวอมขายาว ใส่รองเท้าบู้ท และมีผ้าคาดศีรษะ ซึ่งเป็นชุดสำหรับกรีดยางนั่นเอง นอนเสียชีวิตอยู่ข้างต้นยาง เบื้องต้นไม่พบบาดแผลการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำร่างของผู้ตายไปให้แพทย์ชันสูตรเพิ่มเติมที่ รพ.เขาชัยสน ต่อไป


จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถาม นายกำธร ศรีทวี อายุ 35 ปี สามีผู้ตายและเป็นคนมาเจอเป็นคนแรก เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนก่อนเกิดเหตุ ตนเลิกงานกลับมาถึงบ้านพักประมานตี 1 ครึ่ง ได้เคาะประตูเรียกนางอุษาฯ ผู้ตาย เพื่อเปิดประตูบ้านให้ หลังจากนั้นผู้ตายก็ยังได้จัดเตรียมอาหารเพื่อให้ตนกินจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกจากบ้านเพื่อไปกรีดยาง

ซึ่งสวนยางก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาน 2 ชม.ซึ่งก็เป็นเวลาปกติ ที่ทางผู้ตายใช้เวลาในการกรีดยางอยู่เป็นประจำในทุกๆวันอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงหัวรุ่งประมานตี 4 เศษๆ ลูกคนเล็กได้ตื่นนอนและร้องไห้

ตนจึงโทรหาผู้ตาย ประมาณ 2 ครั้ง แต่ทางผู้ตายไม่รับสายโทรศัพท์ ตนเห็นผิดสังเกต เพราะปกติโทรหาผู้ตายจะรับสายทุกครั้งที่โทรหากัน หลังจากนั้นตน จึงตัดสินใจขับรถ จยย. ตามมาบริเวณที่ผู้ตายกรีดยางอยู่ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้ตาย ซึ่งเป็นภรรยา นอนอยู่ข้างต้นยาง

รีบเข้าไปดูพบว่าภรรยาไม่หายใจแล้ว จึงรีบโทรประสานแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าผู้ตายน่าจะเป็นลมหมดสติ จนทำให้เสียชีวิตดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามต้องรอผลตรวจชันสูตรสาเหตุการตายจากแพทย์โดยระเอียดอีกครั้งหนึ่ง


และจากการสอบถามน้องสาวและลูกสาวของผู้ตาย เพิ่มเติมทราบว่า ผู้ตายไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด แต่มีประวัติเป็นโรคประจำตัว คือ โรคโลหิตจางเพียงเท่านั้น คาดว่าน่าจะอ่อนเพลีย จนเป็นลมหมดสติและเสียชีวิต อีกอย่างเป็นช่วงที่ออกมากรีดยางจนไม่มีใครเห็นและช่วยเหลือได้ทัน.

แขวงทางหลวงชนบทปิดประกาศขอปิดไฟส่องสว่างชั่วคราว เพื่อให้ข้าวของชาวนาได้ออกรวง

ทีมข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ ไปตามถนนสายไสยวน-ควนปริง ในพื้นที่ ม.3 ต.พนมวังก์ อ.ควนขนุน เมื่อไปถึงจุดดังกล่าวพบป้ายไวนิลสีขาว จำนวน 1 ป้าย เป็นป้ายปิดประกาศของแขวงทางหลวงชนบทพัทลุง ขอดับไฟฟ้าส่องสว่างข้างทางชั่วคราว ประมาณ 15 วัน “เนื่องจากข้าวไม่ออกรวง” พบที่นาบางแปลงไม่มีรวงข้าวจริง แต่มองไปแปลงนาผืนใกล้เคียงพบตั้งท้องออกรวงที่รอการเก็บเกี่ยว ทีมข่าวจึงเดินทางไปยังแปลงนาของเกษตรกรเพื่อสอบถามที่มาของป้ายดังกล่าว

นางสาวกาญจนา แก้วเรือง อายุ 42 ปี ชาวนาในพื้นที่ เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ถนนสายดังกล่าวไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง และเมื่อช่วงปีที่แล้ว มีการปรับปรุงขยายเส้นทาง และมีการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างขึ้น เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางที่สัญจรไปมา แต่หลังจากที่มีการติดตั้งไฟส่องสว่าง ส่งผลกระทบกับเกษตรกรที่ปลูกผัก ทำนา

เนื่องจากแสงจากไฟฟ้าส่องสว่างทำให้ต้นกล้าของข้าว เจริญเติบโตไม่เต็มที่ ข้าวที่ชาวนาปลูกก็ไม่มีการตั้งท้องออกรวง ทั้งๆที่แปลงนาแปลงอื่นที่อยู่ติดกัน แต่แสงไฟฟ้าส่องสว่างไปไม่ถึง กลับตั้งท้องออกรวงได้ตามปกติ ทางเกษตรกรผู้ทำนาในพื้นที่ จำนวน 7 ราย จึงได้ประสานขอความช่วยเหลือไปยังแขวงทางหลวงชนบทพัทลุง ขอดับไฟฟ้าส่องสว่างข้างทางชั่วคราว เพื่อให้ข้าวได้ตั้งท้องออกรวง


เกษตรกรชาวนาอีกรายที่อยู่ในพื้นที่ คือ นายนิตย์ แก้วเรือง อายุ 71ปี บอกว่า ทราบดีว่าการปิดไฟฟ้าส่องสว่างอาจกระทบกับบุคคลใช้ถนนเส้นทางดังกล่าว แต่ขอความกรุณาผู้ใช้ถนน ขอปิดไฟฟ้าชั่วคราว เพื่อให้ชาวนาได้พอมีหวังว่าข้าวจะออกรวง เพราะมีการลงทุนไปมากแล้ว แต่โอกาสที่จะได้ผลคงยาก เพราะแปลงนาที่ว่าถ้าจะให้ได้ผลจริงต้องห้ามมีไฟฟ้าส่องสว่างก่อนหน้าที่ข้าวจะออกรวง 4 ถึง 5 เดือน ซึ่งไม่สามรถปิดไฟฟ้าส่องสว่างเป็นเวลานานแบนั้นได้

แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบลองเปลี่ยนสีของไฟฟ้าส่องสว่างในจุดดังกล่าว จากดวงไฟสีส้มเป็นสีขาว เพราะคิดว่าสีของไฟฟ้าส่องสว่างน่าจะมีผลทำให้ต้นข้าวไม่ออกรวง แต่ก็ยังไม่ยืนยันแน่ชัดว่าหากเปลี่ยนสีแล้วจะได้ผลที่ดีขึ้นหรือไม่ ส่วนชาวนาบางราย ถึงกับหมดหวังถอดใจนำต้นข้าวที่ไม่ออกรวงไปให้วัวกิน วัวก็ไม่กินอีก เนื่องจากต้นข้าวดังกล่าวมีความแข็งกว่าต้นข้าวปกติ


ทางด้าน นางสาวชนิดา ฆังคะจิตร(คัง-คะ-จิด) แขวงทางหลวงชนบทพัทลุง กล่าวว่า ป้ายดังกล่าวทางแขวงฯ ได้นำไปปิดประกาศไว้จริง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการร้องขอจากชาวบ้านในพื้นที่ ทางแขวงฯ ก็ให้เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจ พร้อมปิดป้ายประกาศตามที่ชาวบ้านร้องขอ โดยปกติแล้วทางแขวงฯก็ยินดีรับฟัง และพร้อมแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อนในทุกพื้นที่อยู่แล้ว ซึ่งในจุดดังกล่าว ทางแขวงฯ ได้ดำเนินการปิดคัตเอาต์เสาไฟฟ้าส่องสว่างไป จำนวน 5 ต้น ระยะเวลาประมาณ 15 วัน แต่หลังจากนี้ก็ต้องเปิดใช้ไฟฟ้าส่องสว่างตามปกติ เพราะจุดดังกล่าวเองก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน หากปิดไฟฟ้าส่องสว่างเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของผู้ใช้ถนนเส้นทางสายนี้ได้


นางสาวชนิดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่จะ มีการปรับปรุงขยายเส้นทางและติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างนี้ ก็มีการลงพื้นที่ทำประชาคมกับชาวบ้านในพื้นที่ก่อนแล้ว แต่ทางเกษตรกรคงคาดไม่ถึงไปว่าแสงไฟ จากไฟฟ้าส่องสว่างมีผลกระทบต่อพืชพันธุ์ทางเกษตร ซึ่งทางแขวงฯเองก็ไม่ทราบถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายทั้งชาวนาและเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องก็จะเร่งหามาตรการแก้ปัญหาระยะยาวให้กับเกษตรชาวนาทั้ง 7 ราย บนผืนนากว่า 10ไร่ ที่ประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ต่อไป.

ครูฝึกนักมวยขับรถชนคุณตาวัย 79ปีเสียชีวิต ขณะนำดอกไม้ไปให้เมียร้อยพวงมาลัย

เมื่อช่วงเวลา 08.00ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาขยาด พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง เข้าตรวจสอบอุบัติเหตุรถชนกัน บริเวณแยกไสหยี ถนนสายเอเชียฝั่งขาขึ้น ในพื้นที่ ม.7 ต.แพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุพบร่างของนาย เชือบ ทองเกื้อ อายุ 79 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนบนถนนสายดังกล่าว ใกล้กันพบรถ จยย.ฮอนด้าเวฟสีดำ ป้ายทะเบียน 1 กฌ-9466 พัทลุง ซึ่งเป็นรถของผู้ตายจอดอยู่ในร่องคูน้ำกลางถนน พบว่าชิ้นส่วนของรถผู้ตายแตกกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด และห่างออกไปไม่มากนัก ยังพบรถยนต์ฟอร์นจูนเนอร์ สีขาว ป้ายทะเบียน ขร-4452 สงขลา จอดอยู่ในสภาพด้านหน้าพังยับ และยังมีคราบเลือดติดอยู่เป็นจำนวนมาก


จากการสอบถามญาติของผู้ตาย ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายได้ขับรถ จยย.ออกจากบ้านพักซึ่งไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ เพื่อนำดอกไม้ที่ใช้ร้อยพวงมาลัย มาให้ภรรยาของผู้ตาย ที่ขายพวงมาลัยอยู่ริมถนนใกล้จุดเกิดเหตุเช่นกัน แต่ก็ยังไม่ทันได้นำดอกไม้ไปให้ภรรยากลับมาเกิดเหตุสลดดังกล่าวขึ้นเสียก่อน


ทางด้าน นายอุเทน คำภักดี อายุ 40 ปี คนขับรถยนต์ฟอร์นจูนเนอร์ ที่ไม่ได้หลบหนีไปไหน และยังอยู่ในอาการตกใจเล่าให้กับทางญาติของผู้ตายที่เดินทางมาดูศพว่า ตนพร้อมเพื่อนอีก 2 คน ได้เดินทางมาจาก จ.สงขลา ปลายทาง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อไปทำเรื่องส่งนักมวยเข้าชกในรายการชื่อดังทางทีวีช่องหนึ่ง เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งตนได้ขับรถอยู่เลนส์ขวามือ และสังเกตุว่าทางด้านเลนส์ซ้ายมีรถขับแซงขึ้นไปก่อน และเป็นช่วงจังหวะที่รถของคุณตาวัย 79ปี ขับตามหลังและมีการเลี้ยวขึ้นเลนส์ขวาอย่างกระชั้นชิด ด้วยความเร็วของรถที่ตนขับมา ทำให้ชนเข้ากับรถของคุณตาวัย 79ปี เข้าอย่างจังเป็นเหตุให้คุณตา เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ


อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ในหลายพื้นที่ของ จ.พัทลุง มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหลายราย อย่างในพื้นที่ ต.ชะมวง อ.ควนขนุน มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเช่นกัน แม้กระทั่งในจุดดังกล่าวก็มีอุบัติเหตุซ้ำซ้อนเกิดขึ้นซ้ำอีกด้วย.

หนุ่มเมายาคลั่งทำร้ายแม่ เพื่อนบ้านสุดทนแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นาขยาด พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลควนขนุน เร่งเข้าให้ความช่วยเหลือคุณป้าวัย 70 ปี

หลังโดนลูกชายทำร้ายร่างกายเนื่องจากเสพยาเสพติดจนหลอน เหตุเกิดในพื้นที่บ้านสะพานขอย ม.7 ต.นาขยาด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงบริเวณหน้าบ้านไม้ยกพื้นสูง เลขที่ 139 ซึ่งก็พบนายชัยยุทธ ปานแก้ว อายุ 40ปี ชายคลุ้มคลั่งคนดังกล่าว อยู่ในอาการเพ้อพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง


หลังจากเจ้าหน้าที่กำลังพูดคุยเกลี้ยกล่อมเพื่อพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลควนขนุน นายชัยยุทธฯ ก็แสดงท่าทีไม่พอใจ พร้อมด่าทอเจ้าหน้าที่ด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆนานา และยังอ้างว่าตนเคยทำงานอยู่หน่วยกู้ระเบิดทางภาคใต้อีกด้วย เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานเกือบ 30 นาที

กว่าจะจับมัดตัว นายชัยยุทธ์ฯ ขึ้นรถโรงพยาบาลเพื่อไปรักษาอาการป่วยต่อไป
ทางด้าน นางปรีดา จินประพันธ์ อายุ 70 ปี ผู้เป็นแม่ของนายชัยยุทธ์ฯ เล่าว่า ลูกชายมักจะมีอาการเพ้อ คลุ้มคลั่งแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่จะมีอาการหลังจากเสพยาเสพติดเข้าไป งานการก็ไม่ได้ทำ

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ยังพอได้รับงานเหมาซ่อมท่อประปาอยู่บ้าง แต่มาระยะหลังเริ่มมีอาการหลอนหนักขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งมีการทุบตีผู้เป็นแม่ จนบอบช้ำไปทั้งตัว เพื่อนบ้านสุดทนกับพฤติกรรมดังกล่าวไม่ไหว จึงแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ.

รวบแล้วมือมีดที่กระหน่ำแทงหนุ่มใหญ่เสียชีวิตขณะนำวัวไปเลี้ยง อ้างทำไปเพราะถูกผู้ตายพูดจาท้าทายยั่วโมโห

จากกรณีหนุ่มใหญ่วัย 43 ปี ถูกกระหน่ำแทงนับสิบแผล เสียชีวิตคาสวนยางพาราในพื้นที่ ม.5 ต.แพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง

หลังนำวัวไปปล่อยเลี้ยงไว้ในสวนยางพาราของเพื่อนบ้าน
ล่าสุด เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาขยาดสามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว ก่อนคุมตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมอย่างละเอียด พบปมสังหาร มาจากไม่พอใจผู้ตาย ซึ่งมักนำวัวมาเลี้ยงในที่ของผู้ก่อเหตุอยู่เป็นประจำ

และก่อนลงมือก่อเหตุก็ได้เข้ามาพูดคุยกับผู้ตายเรื่องการนำวัวมาเลี้ยงในสวนของตน แต่ทางผู้ตายซึ่งอยู่ในอาการมึนเมา มีการพูดจาด้วยถ้อยคำหยาบคายยั่วโมโห ก่อนมีการชกต่อยกันก่อนคว้ามีดกระหน่ำแทงจน นายจารึกฯ ผู้ตายเสียชีวิตดังกล่าว


ทางด้าน พ.ต.ท.จำลอง กลั้งด้วงทอง รอง ผกก. สอบสวน สภ.นาขยาด กล่าวว่า หลังจากได้ควบคุมตัว นายจำนงค์ ทองอินทร์ อายุ 61 ปีผู้ก่อเหตุ อยู่บ้านเลขที่ 144 ม.5 ต.แพรกหา อ.ควนขนุน มาสอบสวนหลังถูกศาลอนุมัติหมายจับในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และสมควรแก่พฤติการณ์

จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พูดคุยกับคนก่อเหตุ หลังควบคุมตัวทางนายจำนงค์ฯ ยังคงอยู่ในอาการเครียด และยังไม่ขอให้การใดๆมากนัก เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวพร้อมสอบสวนเพิ่มเติมในวันพรุ่งนี้อีกครั้งหนึ่ง.

หนุ่มใหญ่นำวัวไปเลี้ยงถูกแทงเสียชีวิต ในขณะที่ผู้การเมืองลุงเร่งลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ

เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.พัทลุง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.พัทลุง ชุดสืบสวน สภ.นาขยาด เจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง และแพทย์เวร รพ.ควนขนุน เร่งเข้าตรวจสอบบริเวณสวนยางพารา ในพื้นที่ ม.5 ต.แพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง หลังได้รับแจ้งว่ามีคนถูกแทงเสียชีวิต เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง พบศพของนายจารึก รักทองจันทร์ อายุ 43 ปี สภาพศพถูกแทงเข้าบริเวณหน้าอก ลำตัวนับสิบแผล เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ


จากการสอบสวน ทราบว่า นายจารึกฯ ผู้ตายได้นำวัวมาเลี้ยงในสวนยางพารานี้อยู่บ่อยครั้ง จุดดังกล่าวก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของผู้ตายมากนัก แต่ที่สำคัญสวนยางดังกล่าวไม่ใช่สวนยางของผู้ตาย และวัวที่นำมาเลี้ยงก็มักไปกินต้นกล้า ต้นไม้ภายในสวนยางสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของสวนดังกล่าว จนมีชาวบ้านที่พบเห็นเคยเตือนมาแล้วหลายครั้ง แต่ทางผู้ตายก็ยังนำวัวมาเลี้ยงอีก จนเกิดปากเสียงและตอบโต้กับเจ้าของสวนมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน จนกระทั่งล่าสุดมาพบนายจารึกฯ ผู้ตายถูกแทงจนเสียชีวิตดังกล่าว
ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ยังพบรอยคราบเลือด และร่องรอยการต่อสู้ หมวกแคปสีฟ้าจำนวน 1 ใบ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบต่อไป


ทางด้าน พล.ต.ต.กฤษฎา ฯ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่า ผู้ตายได้นำวัวมาเลี้ยงในพื้นที่ดังกล่าว แต่ทราบว่าเบื้องต้นสวนดังกล่าวไม่ใช่สวนยางของผู้ตาย และคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากข้อขัดแย้งที่ผู้ตายนำวัวมาเลี้ยงในที่ ที่ไม่ใช่ของตน เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางผู้ตายและเจ้าของที่ก็เคยมีเรื่องบาดหมางข้อโต้แย้งกันมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ส่วนเรื่องอื่นก็ต้องดูข้อมูลของผู้ตายอย่างละเอียดอีกครั้ง ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำงาน คาดว่าจะจับตัวผู้ก่อเหตุมาได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน.

รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่พัทลุงขับเคลื่อนโครงการเลี้ยงสัตว์สร้างอาชีพ ‘ล้านละร้อย’

นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ จ.พัทลุง ติดตามงานโครงการศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนม ที่ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนม ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง ในพื้นที่ ต.ควนมะพร้าว อ.เมืองพัทลุง ซึ่งเป็นอาชีพพระราชทาน “งานของพ่อ” อีกด้วย


โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง หรือที่เรียกว่า เกษตรสร้างชาติ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง, นายณรงค์ สุทธิสังข์ ปศุสัตว์จังหวัดพัทลุง หัวหน้าส่วนราชการ และเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังกว่า 1,000 คน


นายประภัตรฯ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อ เพิ่มขีดความสามารถภาคปศุสัตว์ไทย ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทาความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดการตลาด ผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ และเพื่อเป็นการสร้างอาชีพทางเลือกใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงสัตว์ ให้สามารถจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ ได้แก่ โคเนื้อ กระบือ แพะ แกะ ไก่พื้นเมือง โดยรัฐบาลมีประกันราคาและตลาดรองรับ ซึ่งหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และเอกชน ร่วมกันชี้แจงโครงการฯ ให้พี่น้องเกษตรกรได้รับทราบ เข้าใจ รวมถึงสำรวจความต้องการของเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ตลอดจนประสานหน่วยงานภาครัฐอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการให้การสนับสนุน เช่น บ่อบาดาลเพื่อการเกษตร พันธุ์พืชอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์ ที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้ความรู้แก่เกษตรกร


นอกจากนี้ นายประภัตรฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เพื่อชี้แจงขั้นตอนให้การดำเนินงานเป็นไปตามที่โครงการกำหนด และเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมโครงการฯ ถือปฏิบัติเพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ มีผลสัมฤทธิ์ สามารถสร้างรายได้และมีอาชีพที่มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป โดย ธ.ก.ส. อำนวยสินเชื่อในวงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท คิดดอกเบี้ยอัตราละ 0.01% ต่อปี โดยสนับสนุนสินเชื่อไม่เกินกลุ่มละ 10 ล้านบาท หรือดอกเบี้ยล้านละ 100 บาท/ปี รวมระยะเวลา 3 ปี เริ่มโครงการตั้งแต่ 1 ธ.ค. 62 ถึง 30 พ.ย. 65 ที่จะถึงนี้


ในส่วนทางด้าน นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการและขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ ธ.ก.ส. ตามโครงการดังกล่าว จะต้องมี การจดทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม 1 ครัวเรือน 1 กลุ่ม และ 1 กลุ่ม 1 กิจกรรม พร้อมเลือกเมนูอาชีพ โดยมีตลาดนำการผลิต ก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ กลุ่มละไม่เกิน 10 ล้านบาท ก่อนมีการดำเนินการจัดซื้อ จัดหาปัจจัยการผลิตต่อไป


ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมา มีการลงนามบันทึกความเข้าใจโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่างกรมปศุสัตว์ และ ธกส. เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา และเริ่ม kick off ไปแล้วในหลายจังหวัดแล้ว ได้แก่ จ. ขอนแก่น จ.สระแก้ว จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.สุพรรณบุรี และ จ.นครปฐม ซึ่งได้รับความสนใจจากเกษตรกรจำนวนมาก.

พูดจาไม่เข้าหูกันในวงเหล้า ชักปืนยิงเพื่อนร่วมวงตาย1 บาดเจ็บสาหัสอีก2ราย

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีบรรพต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ชีพตำบลเขาย่า เร่งลงพื้นที่บ้านวังงาย ม.7 ต.เขาย่า อ.ศรีบรรพต จ.พัทลุง หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเกิดเหตุยิงกันจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุหน้าบ้านเลขที่ 37 ม.7 ต.เขาย่า พบรอยเลือดเต็มพื้นแคร่ไม้ ที่ตั้งอยู่หน้าบ้านหลังดังกล่าว ส่วนคนเจ็บเจ้าหน้าที่ได้เร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลศรีบรรพตไปแล้วก่อนหน้า ทราบชื่อผู้บาดเจ็บทั้งหมดคือ นายเสถียร ชูเสน อายุ 50 ปี เจ้าของบ้านหลังที่เกิดเหตุ ถูกยิงเข้าบริเวณหน้าอกซ้ายทะลุราวนม เสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาล และยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 2 ราย คือนายอนันต์ คงเกื้อ อายุ 48ปี ถูกส่งตัวรักษาต่อยังโรงพยาบาลพัทลุง และนายวิโรจน์ ชูมาก อายุ 48 ปี


จากการสอบถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาหลังจากที่นายเสถียรฯผู้ตาย ได้กลับจากสวนยาง ก็ชักชวนนายอนันต์ฯ และนายวิโรจน์ฯ ผู้บาดเจ็บทั้ง2ราย และเพื่อนบ้านอีกคน ตั้งวงกินเหล้ากันบริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุ อีกทั้งทั้งหมดก็เป็นเพื่อนบ้านกัน และมักมานั่งตั้งวงกินเหล้าด้วยกันเกือบทุกวันหลังเลิกงาน แต่ในวันนี้หลังจากที่ทั้งหมดนั่งกินเหล้ากันได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว ส่วนผู้ก่อเหตุก็ได้หลบหนีไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง


และจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบหัวกระสุน จำนวน 1หัว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่ตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าน่าจะพูดจาไม่เข้าหูกันในวงเหล้า ก่อนผู้ก่อเหตุชักปืนยิงเพื่อนร่วมวงตาย1 บาดเจ็บสาหัสอีก2ราย


แต่ล่าสุดทราบว่า ผู้ก่อเหตุได้เข้ามอบตัวแล้ว ทราบชื่อคือ นายอุปการณ์ รักนิ่ม และยังได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งตัวรักษาต่อที่โรงพยาบาลต่อไป ส่วนบาดแผลนั้นจะได้รับบาดเจ็บอย่างไร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องเร่งเข้าสอบสวนเพิ่มเติมต่อไปหลังจากนี้

ผญบ.วัย43ปีเลี้ยงอุงสร้างรายได้หลักหมื่นต่อเดือน แถมไอเดียดีทำการตลาดผ่านทางเฟสบุ๊ค

นายสุริยัน หรือผู้ใหญ่จุ๊บ เอียดเกลี้ยง อายุ 43 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.5 บ้านศาลาเณร ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ใช้เวลาว่างจากการดูแลความเรียบร้อยของลูกบ้าน หันมาเลี้ยงอุง หรือชันโรงเพื่อสร้างรายได้เสริม ซึ่งตอนนี้มีแม่พันธ์อุง อยู่ประมาณ 200 รัง โดยใช้พื้นที่บริเวณโดยรอบของบ้านเป็นสถานที่เลี้ยง การเลี้ยงอุงเป็นการลงทุนน้อย กำไรดี แต่คนเลี้ยงต้องมีความอดทนและใส่ใจในการเลี้ยงเป็นอย่างมาก เพราะกว่าจะเลี้ยงจนกระทั่งเก็บน้ำหวานจากอุงได้ ต้องใช้เวลาเพาะเลี้ยงประมาณ 1 ปี


นายสุริยัน ฯ เล่าว่า แรกเริ่มที่คิดจะเพาะเลี้ยงอุง หรือ ชันโรง เนื่องจากพบว่าแม่พันธ์อุง หรือชันโรง มีมากในพื้นที่ จึงได้ศึกษาหาข้อมูลการเลี้ยงจากยูทูป จนกระทั่งเริ่มเลี้ยงอุงมาได้ประมาณ 4 ปี ในช่วงแรกก็ประสบกับปัญหาด้านการตลาด เพราะยังไม่ค่อยมีใครสนใจและได้รับความนิยมมากนัก ผ่านไปกว่า1ปีตนจึงเริ่มมีความคิดว่า ตนเองก็เล่นเฟสบุ๊คอยู่ทุกวัน มันน่าจะใช้ประโยชน์จากเฟสบุ๊คได้บ้าง จึงตัดสินใจลองขายอุงผ่านเฟสบุ๊ค จนเป็นที่สนใจของเพื่อนๆในเฟสบุ๊ค มียอดการสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนตอนนี้ตนสามารถสร้างรายได้

จากการขายอุงเดือนละประมาณ 3 หมื่นบาท และในขณะนี้ในพื้นที่ จ.พัทลุงก็เริ่มมีผู้สนใจเลี้ยงอุงเพิ่มขึ้นเกือบ 40 ราย ซึ่งสายพันธ์ของอุง หรือ ชันโรง ที่นิยมเลี้ยงกันมีทั้งหมด 37 สายพันธุ์ แต่ในส่วนของ ผญ.จุ๊บ มีอยู่ 7 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์หลังลาย หลังลายเชียงใหม่ อะบีคาร์ลิส ถ้วยดำ รุ่งอรุณ ขนเงิน สายพันธุ์นี้จะขายดีเพราะชื่อเป็นมงคล และสายพันธุ์ปากหมู สายพันธุ์นี้จะให้น้ำหวานมาก อุงที่เลี้ยงก็ไม่ดุเหมือนสายพันธุ์อื่นๆ เลี้ยงง่ายและมีราคาที่สูงมาก

และนอกจากการเลี้ยงในกล่องลังไม้ อุงยังเลี้ยงได้กับทุกภาชนะที่เราดัดแปลงขึ้นมาเพื่อให้อุงเพาะพันธุ์ อย่างเช่น แกลลอนน้ำมัน เศษท่อนไม้เก่าๆ ก็ใช้ได้หมด ส่วนน้ำหวานหรือน้ำผึ้งที่ได้จากอุง ก็จะมีลักษณะพิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร มีรสชาดหวานอมเปรี้ยว แต่จะเปรี้ยวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่เลี้ยงด้วย อีกทั้งคุณสมบัติกีมีสารพัดช่วยบรรเทาอาการป่วยจากโรคเบาหวาน ไขมันในเส้นเลือด โรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่มักเกิดบาดแผลแล้วหายช้า แค่นำน้ำหวานจากอุง มาใส่แผลก็จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นได้อีกด้วย

ผญ.จุ๊บฯ บอกว่าขณะนี้มีลูกค้าสนใจสั่งกันมาเป็นจำนวนมาก จนผลิตแทบไม่ทัน โดยเฉพาะน้ำหวานจากอุง หรือชันโรง ตนขายส่งอยู่ที่ขวดละ 900 บาท และนอกจากตัวแม่พันธุ์ น้ำหวานของอุงแล้ว ทุกส่วนภายในรังอุงที่เพาะพันธ์ สามารถเก็บมาขายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกสรของดอกไม้ที่อุงนำมาสร้างรังก่อนที่จะผลิตน้ำหวาน ซึ่งสามารถขายได้กิโลกรัมละ 300 บาท นำมาทานกับน้ำอุ่น มีสรรพคุณช่วยบำรุงสุขภาพ ส่วนชันของอุง หลังจากคั้นเอาน้ำหวานออกจนหมด ก็สามารถนำไปสกัดทำสบู่ มีสารต้านเชื้อรา ส่งขายในกิโลกรัมละ 500 บาท แม่พันธุ์หรือที่เรียกว่าไข่นางพญาตัวละ 200 บาท รังเพาะพันธุ์พร้อมแม่พันธุ์ลังละ 700 ถึง 800บาท เรียกว่าทุกอย่างของอุงสร้างรายได้ ได้ทั้งหมดเลยทีเดียว.