คนพัทลุงชวนเที่ยวงานโนราโรงครู พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีการสืบทอดจากรุ่นปู่ย่า ตายาย

เมื่อเวลา 16.00 น.ของวันนี้ ที่บริเวณวัดท่าแค ตำบลท่าแค อำเภอเมืองพัทลุง นายวิญญ์ สิทธิเชนทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เดินทางเป็นประธานงานแถลงข่าวงาน“โนราโรงครู” ร่วมกับนางศิริพร ทองทวี วัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง นายเสรี แก้วหนู นายกเทศมนตรีตำบลท่าแค และ นายเกรียงเดช ขำณรงค์ ตัวแทนศิลปินมโนราห์ การจัดงานแถลงข่าวในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สืบสานศิลป์ถิ่นโนราของจังหวัดพัทลุงให้คงอยู่คู่คนพัทลุงต่อไป ซึ่งกิจกรรมจะจัดขึ้นในวันที่ 11- 14 พฤษภาคม 65 ที่จะถึงนี้ ภายในงานมีมโนราห์ชื่อดังหลายคณะของจังหวัดพัทลุงร่วมแสดงพิธีกรรมโนราโรงครู โดยที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดให้ความสนใจเข้าร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก

“โนราโรงครู” เป็นการแสดงโนราห์เพื่อประกอบพิธีกรรม ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการเคารพบูชา และแสดงความกตัญญูต่อวิญญาณบรรพบุรุษโนราห์ เพื่อแก้บนหรือ คนภาคใต้เรียกว่า การแก้เหมรย เริ่มจากการทำพิธีครอบครูโนราห์ และพิธีกรรมต่างๆของโนราห์โรงครูที่เชื่อว่าสามารถรักษาโรค หรืออาการบางอย่างได้ เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ความศรัทธาของผู้ที่มีเชื้อสายมโนราห์ ส่วนใหญ่จะเห็นการประกอบพิธีดังกล่าว ในพื้นที่ของ จ.นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง และ สงขลา และเป็นความเชื่อ ความศรัทธาที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

สำหรับโนราห์โรงครูที่วัดท่าแคแห่งนี้ ชาวบ้านมักรู้จักกันในนามของ “โรงครูพ่อขุนศรีศรัทธา”ถือเป็นโรงครูใหญ่ และเป็นสถานที่ ที่ขุนศรีศรัทธา เคยฝึกสอนการรำมโนราห์ให้แก่ศิษย์ไว้มากมาย และเป็นที่พำนักของครูหมอโนราห์ วัดท่าแค จึงนับได้ว่าที่นี่คือต้นกำเนิดของโนราห์โรงครู ของจังหวัดพัทลุง

การจัดงานในครั้งนี้ ทางสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง ร่วมกับสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพัทลุง สภาวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง สำนักงานเทศบาลตำบลท่าแค ผู้นำท้องถิ่น และ เครือข่ายวัฒนธรรมทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันดำเนินงาน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิงศาสนา และวัฒนธรรม สืบสานศิลป์ถิ่นโนราห์ของจังหวัดพัทลุง ให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก.

โนรากว่า 500ชีวิต รำโชว์นายกลงพื้นที่พัทลุง เปิดโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านฯ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

วันนี้เวลา 16.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจราชการพร้อมมอบนโยบายให้แก่หัวหน้าส่วนราชการและผู้บริหารท้องถิ่น พร้อมเปิดโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การแสดงมโนราห์ มรดกโลกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา โดยมีมโนราห์ตัวน้อย และเหล่าศิลปินมโนราห์ร่วมรำโชว์กว่า 500ชีวิต ในท่ารำทั้ง 12ท่ารำ ซึ่งแสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของพัทลุงได้เป็นอย่างดี

โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดพัทลุง รอให้การต้อนรับ ณ หอประชุมจังหวัดพัทลุง อำเภอเมืองพัทลุง จากนั้นทางคณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการสินค้า OTOP จังหวัดพัทลุง บริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า โดยมีชาวบ้านถือป้าย ชูให้กำลังใจนายก ก่อนเดินทางไปเป็นประธานเปิดงานโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การแสดงมโนราห์ “สืบสานแผ่นดินโนรา มรดกโลกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา ในวันที่ 12สิงหาคม 2565 ที่กำลังจะถึงนี้

เพื่อเป็นการส่งเสริม อนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคใต้ ให้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นการเฉลิมฉลองที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และ วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO)ได้ประกาศรับรองขึ้นทะเบียน โนรา (NoraDance Drama in Southern Thailand) ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ลำดับที่สามของไทย เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา

นับเป็นโอกาสที่ดีของคนพัทลุงที่จะได้บอกเล่าเรื่องราวมโนราห์ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ให้สอดคล้องกับกรอบแนวคิดซอฟพาวเว่อร์( Soft Power) ของรัฐบาล ให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมไทยสู่สากล

และที่ขาดไปไม่ได้ เวลานายกลงพื้นที่ ก็จะมีคอหวย ชาวบ้านต้องตามมาส่องเลขป้ายทะเบียนรถที่นายกนั่ง เพื่อเอาไปเสี่ยงโชคในงวดวันที่ 2 พ.ค.65ที่กำลังจะถึงนี้ ทราบว่าล่าสุดหลังจากมีเลขป้ายรถที่นายกนั่ง คือ 1 ขณ_ 5696 กทม.และมีการแชร์ต่อๆกันไป ทำให้ตอนนี้เลขท้ายนี้ถูกกว้านซื้อตามแผงจนเกือบเกลี้ยงแล้ว

ตร.ปิดล้อมล่าผู้ต้องหาหนีหมายจับคดียาหนีรอดทิ้งเมียรับกรรม สุดซ้ำเมียก็มีหมายจับติดตัวอีกด้วย

ช่วงเย็นที่ผ่านมา ตำรวจชุด ชปส.พัทลุง ได้สืบสวนหาข่าวจนทราบเบาะแส ผู้ต้องหาหนีหมายจับคดียาเสพติด จำนวน 2 คดี หนีมากบดานอยู่ในพื้นที่ บ้านปากหวะ ม.10 ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง แต่ระหว่างที่ตำรวจเข้าปิดล้อมจับกุม ผู้ต้องหา ทราบชื่อคือ นายพรชัย ชัยทอง อายุ 36 ปี ไหวตัวทันหลบหนีลงทะเล

หลังจากนั้นตำรวจชุด ชปส.พัทลุง ได้ประสานขอกำลังสนับสนุนจากตำรวจชุด ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และคนร้ายสำคัญสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง และนักประดาน้ำของกู้ภัยพัทลุง เข้ามาช่วยค้นหา แต่ไม่พบตัวนายพรชัยฯ ผู้ต้องหา พบเพียงรองเท้าแตะ กับ กระเป๋าสะพายทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ตรวจสอบในกระเป๋าพบยาบ้า พร้อมอุปกรณ์การเสพอีกจำนวนหนึ่ง ตำรวจตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน

ด้าน น.ส.จรรยมณฑน์(จัน-ยะ-มน) ฯ ภรรยาของผู้ต้องหา จากการตรวจสอบพบว่ามีหมายจับ คดียักยอกทรัพย์ด้วยเช่นกันก่อนคุมตัวไปตรวจค้นบ้านเช่าที่ทางนายพรชัยฯ ผู้ต้องหาแอบไปเช่าไว้ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายเพิ่มเติม จึงคุมตัวไปสอบสวนเพิ่ม พร้อมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

วุ่นกลางดึก หลังชายวัย 26 ปี หายตัวไปหลังเลิกงาน เพื่อน ญาติช่วยกันตามหาจนเจอ เจ้าตัวอ้างมีวิญญาณสั่งให้รีบกลับบ้าน

เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 20 เม.ย.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุง ได้เร่งออกตามหาชายวัย 26 ปี ที่หายตัวไปหลังเลิกงาน เหตุเกิดบริเวณที่พักสงฆ์เขาอ้น ม.1 บ้านดอนแบก ต.ปรางหมู่ อ.เมือง จ.พัทลุง
นายสมปอง บุญเพชรแก้ว อายุ58 ปี คนดูแลที่พักสงฆ์ เล่าว่า ช่วงตอนเย็นเวลาประมาณ 17.00 น. ได้มีชายวัยรุ่นรูปร่างผอม ขับรถบดอัดถนนมาจอดไว้ริมที่พักสงฆ์ดังกล่าว ก่อนเดินหายตัวไปไม่มีใครทราบว่าหายไปไหน จนกระทั่งมีญาติ และเพื่อนร่วมงานช่วยกันออกตามหา ต่อมาเวลา 21.30 น.มีคนแจ้งว่าพบตัวชายคนดังกล่าวแล้ว ทราบชื่อ คือ นายนันทวัฒน์ สุวรรณวงศ์ อายุ 26ปี เป็นลูกจ้างคนงานบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่กำลังเข้ามาปรับปรุงถนนสายพญาขัน-เขาแดง อยู่ในสภาพตัวเปียกน้ำ พูดจาคล้ายคนเมา

จากการสอบถาม นายนันทวัฒน์ฯ เล่าว่า หลังเลิกงานตนนำรถบดอัดถนนมาจอดไว้ที่บริเวณที่พักสงฆ์ หลังจากจอดรถเสร็จรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงชายปริศนาสั่งให้รีบกลับบ้านในพื้นที่ ต.ชุมพล อ.ศรีนครินทร์ ห่างกับจุดที่เกิดเหตุประมาณ 30 เมตร ตนก็รีบเดินเท้ากลับบ้าน แต่ก็ไม่รู้เส้นทาง รู้แค่ว่าต้องรีบกลับบ้าน แต่เดินไปสักพักเริ่มมืดค่ำ บวกกับไม่รู้เส้นทาง จึงโทรหาญาติ หาเพื่อนร่วมงานให้มารับแต่ก็บอกพิกัดที่อยู่ไม่ได้ ซึ่งจุดดังกล่าวมีลักษณะเป็นหุบเขา ล้อมรอบด้วยทุ่งนา และสวนเกษตรของชาวบ้าน แต่ไม่ค่อยมีบ้านคนอาศัยอยู่มากนัก ภายในหุบเขามีลักษณะเป็นถ้ำชาวบ้านได้อัญเชิญพระพุทธรูปที่ชาวบ้านนับถือมาไว้มากมาย ทั้งพระอาจารย์ดิษฐ์ วัดปากสระ พระอาจารย์หมุน ยสโร อดีตพระเกจิชื่อดังของวัดเขาแดง และในช่วงเดือนเมษาของทุกปีชาวบ้านก็จะมาทำบุญ สรงน้ำพระกันเป็นประจำทุกปี

ทางด้านญาติ ของนายนันทวัฒน์ฯ เชื่อว่าบุคคลปริศนาที่สั่ง นายนันทวัฒน์ฯ ให้รีบกลับบ้าน อาจเป็นครูหมอโนราห์ที่บ้าน เนื่องจากมีความเชื่อเรื่องครูหมอโนราห์ ซึ่งก่อนหน้านี้พี่สาว และพ่อของนายนันทวัฒน์ฯ ก็เคยเจอกับเหตุการณ์แปลกๆเหล่านี้มาก่อน คล้ายกับการให้มารับช่วงต่ออะไรประมานนั้น

หลังจากนั้น นายสมปองฯ คนดูแลที่พักสงฆ์ได้นำตัว นายนันทวัฒน์ฯ ขึ้นไปรดน้ำมนต์ภายในถ้ำก่อนให้ญาติพาตัวกลับบ้านต่อไป.

ผู้ต้องหาคดียาเสพติดวิ่งหนีเข้าจอมปลวก ขณะตำรวจเข้าจับกุม

เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 434 พัทลุง บุกจับนายประพันธ์ หรือมัน ด้วงช่วย อายุ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดียาเสพติด หลังหนีกบดานอยู่ที่บ้านพักในพื้นที่ ต.ป่าบอน อ.ป่าบอน จ.พัทลุง

ขณะที่ตำรวจเข้าปิดล้อมจับกุม นายประพันธ์ฯ ผู้ต้องหาไหวตัวทันหนีเข้าไปอยู่ในจอมปลวกข้างบ้าน ตำรวจต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมและนำตัวออกมาจากจอมปลวก


หลังจากนั้นจึงได้แสดงเอกสารตามหมายจับให้ผู้ต้องหารับทราบ ก่อนคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ป่าบอนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ม.ทักษิณ พัฒนาพัทลุงโมเดล “กระจูดแก้จน”จากวัชพืชสู่การสร้างอาชีพ สร้างรายได้ กระจายโอกาสโอกาส สู่ระดับประเทศ

มหาวิทยาลัยทักษิณได้มีการปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่และการแก้ไขปัญหาความยากจนที่เหมาะสม ด้วยรูปแบบการพัฒนา “พัทลุงโมเดล” ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ซึ่งการพัฒนาโมเดลดังกล่าวภายใต้ชื่อโครงการ “กระจูดแก้จน”เปิดโอกาสให้คนจนเข้าสู่กระบวนการของโครงการด้วยการสมัครใจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาความรู้ คุณภาพชีวิต และสร้างรายได้เพิ่ม โดยมีศูนย์หัตถกรรมกระจูดวรรณีเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำในจังหวัดพัทลุง

รองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและการบริการวิชาการ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งได้นำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แก้จน เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้แก่ชาวบ้านทะเลน้อย โดยการดึงวิสาหกิจชุมชนกระจูดวรรณี กลุ่มวิสาหกิจที่มีความเข้มแข็ง ผนวกกับองค์ความรู้ทางด้านศิลปกรรมการออกแบบของมหาวิทยาลัยทักษิณ โดยใช้วิธีการ Coaching เน้นการเพิ่มทุนมนุษย์จากกระจูด จัดทำเป็นหลักสูตรฝึกอบรมให้ความรู้เชิงทฤษฎีและลงมือปฏิบัติจริง ได้แก่ การพัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบเชิงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบยั่งยืน และการพัฒนาการตลาดในยุคดิจิทัล เพิ่มทุนสังคม ด้วยการส่งเสริมการรวมกลุ่มของคนจน เป็นวิสาหกิจชุมชนเลน้อยคราฟ (Lenoi Craft Community Enterprise) เพิ่มทุนเศรษฐกิจ


ส่งผลให้สมาชิกของวิสาหกิจชุมชนเลน้อยคราฟ มีช่องทางการหารายได้ระหว่างทาง คือ สามารถนำกระเป๋ากระจูดที่สานที่บ้านมาฝึกทดลองขายผ่านออนไลน์หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรมปัจจุบันโครงการได้ขยับมาถึงช่วงของการนำความรู้ที่ผ่านการอบรมมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ของกลุ่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นและสวยงาม ทั้งการใช้สีธรรมชาติสำหรับกระบวนการย้อม การคิดค้นลวดลายใหม่ที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ เช่น ลายเกลียวคลื่น ลายดอกบัว ลายตัวขอพระราชทาน เป็นต้น การนำเสนอผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็เป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาโมเดล สร้างรายได้ และขยายโอกาสให้แก่ครัวเรือนคนจนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

นายมนัทพงค์ เซ่งฮวด กลุ่มวิสาหกิจกระจูดวรรณี เปิดเผยว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยการสานกระจูดสร้างอัตลักษณ์ของชุมชนชาวทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง โชคดีชาวบ้านกลุ่มเปราะบางได้รับความรู้จากอาจารย์พลัฏฐ์ ยิ้มประเสริฐ สังกัดสาขาศิลปะการออกแบบ ม.ทักษิณ และทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทักษิณ ที่ได้เข้ามาร่วมกันคิดออกแบบ และพัฒนาส่งเสริมการผลิตกระจูดสร้างรายได้ให้แก่คนจนทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ภายใต้โครงการการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำในจังหวัดพัทลุง โดยมีหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมด้านการพัฒนาระดับพื้นที่(บพท.) สนับสนุนทุนวิจัย ดำเนินงานโดยมหาวิทยาลัยทักษิณ


และในวันนี้ วันที่ 12 เมษายน 2565 มหาวิทยาลัยได้เข้าร่วมจัดแสดงผลงานจากเลน้อยคราฟพัทลุง(Lenoi Craft Phattalung)สู่การสร้างพลัง สร้างรายได้ กระจายโอกาส ณ ลานจัดแสดง Quartier Gallery ชั้น M ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ (The EmQuartier) สุขุมวิท กรุงเทพฯ ซึ่งมีภาคีเครือข่ายความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยทักษิณ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ชุมชนหัตถกรรมกระจูดวรรณีพัทลุง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานจังหวัดพัทลุง และศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ (The EmQuartier) สุขุมวิท กรุงเทพฯ ร่วมจัดงานในครั้งนี้เพื่อนำเสนอและเผยแพร่พัทลุงโมเดล ผ่านการจัดแสดงและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์เลน้อยคราฟที่มาจากครัวเรือนคนจนทะเลน้อย และเป็นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้และเปิดมุมมองใหม่เป็นที่รู้จักในสังคมวงกว้างมากขึ้น

นับว่าเป็นความโชคดีสำหรับชาวบ้านที่ประกอบอาชีพสานเสื่อกระจูด กระจูดเดิมแล้วเป็นแค่วัชพืชที่พบได้ตามป่าพรุ ต่อมามีชาวบ้านนำมาสานเป็นเสื่อ เป็นภาชนะไว้สำหรับใช้ภายในครัวเรือน จนมีการพัฒนาการสานให้มีลวดลาย บ้างก็นำกระจูดไปย้อมสีสันต่างๆเพื่อให้ลวดลายของเสื่อดูดี มีเอกลักษณ์ขึ้น เป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้จากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างลงตัว และถือเป็นวิถีชีวิตที่ควรค่าแก่รักษาให้คงอยู่คู่กับชุมชนต่อไป.

ป้าวัย60ปีสู้ชีวิต ใช้เวลาว่างเก็บผักขายสร้างรายได้จุนเจือครอบครัว

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีมาอย่างยาวนาน และไม่รู้จะหมดไปเมื่อไหร่ อีกทั้งภาวะ เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ ราคาของอุปโภค บริโภค ต่างพากันขึ้นราคา ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของคนระดับรากหญ้า ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

อย่างเช่นคุณป้าถั่ว วัย 60 ปี เป็นชาวบ้านในพื้นที่ ม.4 ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง ถึงแม้อายุจะเยอะแล้ว แต่ไม่เคยย่อท้อ สู้ชีวิต ตระเวณขับรถจักรยานยนต์หาเก็บผักตามริมทางขาย สร้างรายได้เพื่อไปจุนเจือในครอบครัว

ป้าถั่ว วัย 60 ปี เล่าว่า ป้ายึดอาชีพเก็บผักตามริมทางขายมานาน โดยไปกับรถจักรยานยนต์คู่ใจ ผักที่เก็บก็มีทั้งผักน้ำ อย่างผักกระเฉด ผักบุ้ง ดอกเอื้อง และผักบกอย่างพวกยอดกระถิน ยอดขี้เหล็ก บางครั้งก็ไปงมหอยขมตามท้องนามาขาย ก่อนนำไปส่งขายให้กับแม่ค้า พ่อค้าตามตลาดนัด บ้างก็ส่งขายตามร้านขายขนมจีน มีรายได้วันละ 200 ถึง 500 บาท ก็พอจุนเจือค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ป้าถั่วฯ ยังบอกอีกว่า ตอนนี้ลูกชายก็ช่วยส่งเงินมาให้ใช้จ่ายอยู่นะ แต่ป้าอยากมีรายได้ อยากช่วยแบ่งเบาภาระลูกชาย หาเก็บผักขายไปเรื่อยตามประสาผู้สูงอายุที่อยู่ไม่ติดบ้าน.

แม่ค้าสาวสวยใจบุญ ลุยแจกมะม่วงให้แก่ผู้ป่วยโควิดทั่วพัทลุง มากถึง 2.5 ตัน

สวนกระแสมะม่วงราคาตกต่ำ แม่ค้าสาวสวยใจดี ผุดไอเดียคืนกำไรให้ลูกค้า สั่งมะม่วงมา กว่า 2.5 ตัน หลากหลายสายพันธุ์ ทั้งมะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงแก้วขมิ้น มะม่วงฟ้าลั่น มะม่วงเขียวเสวย(เขียว-สะ-เหวย) พร้อมแพ็คถุง ถุงละ 2 กิโล ลุยแจกให้กับผู้ป่วยโควิด ที่ต้องกักตัวอยู่ตามโรงพยาบาลสนามต่างๆ ได้แก่ โรงพยาบาลพัทลุง และโรงแรมวังโนรา

นอกจากนี้สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน ก็สามารถให้ญาติเดินทางมารับได้ที่บริเวณ ถ.ราเมศวร์ ต.คูหาสวรรค์ ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง เยื้องธนาคารกรุงเทพสาขาพัทลุง โดยจะให้คนละ 2 ถุงๆละ 2 กิโลกรัม เพื่อจะได้แจกจ่ายให้ทั่วถึงกับชาวบ้านที่เดินทางมารอรับอยู่เป็นจำนวนมาก

นางแก้วใจ มีแก้ว อายุ 40 ปี เล่าว่า สงสารชาวสวนมะม่วง เนื่องจากปีนี้ราคามะม่วงตกต่ำ ส่งออกนอกก็ไม่ได้ เลยช่วยเหมามะม่วงจากชาวสวน เพื่อมาแจกให้กับคนพัทลุง โดยเฉพาะผู้ป่วยโควิด-19 บางครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำก็ลำบากมากแล้ว พอมีโรคระบาดมาอีกเหมือนเป็นการซ้ำเติมความลำบากเข้าไปอีก ซึ่งมะม่วงที่เอามาแจกในรอบนี้ มีจำนวน 2.5 ตัน ช่วงเช้าก็ได้นำไปแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยโควิด-19 ที่โรงพยาบาลพัทลุง กับโรงพยาบาลสนามที่โรงแรมวังโนรา

นอกจากนี้ นางแก้วใจฯ แม่ค้าสาวสวยใจดี ยังฝากส่งกำลังใจให้กับคนที่กำลังป่วยโควิด-19 และชาวสวนมะม่วง ว่าอย่าเพิ่งท้อแท้ เพราะยังมีคนอีกมากมายที่พร้อมจะสู้และผ่านเรื่องเลวร้ายไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่อะไรก็ดูแพงตามกันไปหมด เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ อีกทั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ในความโชคร้ายต่างๆ ก็ยังมีเรื่องราวที่ดี มีคนใจดี คอยเป็นสะพานบุญช่วยเหลือ ส่งต่อเรื่องราวดีๆ ทำให้คนที่ท้อ หมดหวัง ยังยิ้มได้ในทุกวัน

สวนกระแสราคามะม่วงตกต่ำ ชาวบ้านพญาขันรวมกลุ่มปอกมะม่วงสร้างรายได้เสริมหลักหมื่นต่อวัน

ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลพญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง ประมาณ 5หมู่บ้าน ได้แก่พื้นที่ ม.5 ม.7 ม.8 ม.9 และ ม.10 หันมาหารายได้เสริม โดยการรับจ้างปอกมะม่วงเบา หรือมะม่วงบ้านสร้างรายได้ รายวันต่อคนได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มจากมีแม่ค้าคนกลางรับซื้อมะม่วงเบามาจากชาวสวน ก่อนจ้างชาวบ้านที่สนใจมาปอกเปลือกมะม่วง เพื่อนำไปแช่อิ่มขายอีกทอดหนึ่ง

นางอุไร หมุนจำนง อายุ 55 ปี แม่ค้าร้านขายของชำ เล่าว่า ตนเปิดร้านขายของริมถนนสายพลายทอง-เขาแดงมานาน ช่วงหลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ของเริ่มขายยากขึ้น แต่โชคดีเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม 65 ที่ผ่านมา มีแม่ค้าที่รับซื้อมะม่วงจากชาวสวน เพื่อไปทำมะม่วงแช่อิ่มส่งขาย ได้มาจ้างชาวบ้านในพื้นที่ปอกเปลือกมะม่วง จนมีการจ้างกันมากขึ้น ในหลายพื้นที่ของตำบลพญาขัน โดยราคาจ้างอยู่ที่กิโลกรัมละ 6-8 บาท สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในชุมชน ชาวบ้านเองก็มีรายได้วันละ 400-1200 ต่อหนึ่งครอบครัว
นางอุไรฯ เล่าเพิ่มเติมว่า ร้านขายของชำก็ยังเปิดขายปกติ และก็มีรายได้เสริมจากการปอกมะม่วงไปด้วยอีกทางหนึ่ง ถือเป็นการสวนกระแสของปัญหาราคามะม่วงตกต่ำอยู่ในขณะนี้อีกด้วย.

กองปราบคุมตัว ฉุย เขาจันทร์ สอบเพิ่ม ขณะเจ้าตัวยังปฏิเสธไม่ได้ยิงตำรวจเสียชีวิต

ช่วงบ่ายวันนี้ ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง ตำรวจกองปราบ นำตัวนายจำรัส รักจันทร์ หรือ ฉุย เขาจันทร์ พร้อมสมุนนายอัฐพล หรือรวย ใหม่อ่อน และ น.ส.น้ำ(นามสมมุติ) แฟนสาวของ ฉุย เขาจันทร์ มาสอบสวนเพิ่มเติม โดยมี พ.ต.อ. ภาคิน ณ ระนอง รอง.ผบก.ภจว.พัทลุง พ.ต.อ.ยศวรรษย์ กระจ่างวงค์ ผกก.สืบสวน ภจว.พัทลุง และพนักงานสอบสวน สภ.เขาชัยสน โดยมีญาติของนายอัฐพล หรือรวย ใหม่อ่อน ทั้งพ่อ แม่ และพี่สาว แต่ไร้วี่แววญาติของนายฉุย เขาจันทร์

หลังจาก พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.6 บก.ป. สามารถติดตามจับกุมตัวนายจำรัส รักจันทร์ หรือ ฉุยเขาจันทร์ มือปืนตามประกาศจับสำนักงานตำรวจแห่งชาติลำดับ 145 ได้สำเร็จ หลังสืบทราบว่าได้หลบหนีออกจากป่าเขาคาว พื้นที่ หมู่ 9 ต.ชะมวง อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เข้ามากบดานในพื้นที่กรุงเทพฯ ย่านรามคำแหง พร้อมลูกสมุน คือ นายอัฐพล หรือรวย ใหม่อ่อน อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาในคดียิงเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เสียชีวิต รวมทั้ง ยังควบคุมตัว น.ส.น้ำ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี แฟนสาวของฉุย รักจันทร์ ที่อยู่ด้วยกันภายในห้อง เมื่อวันที่ 25 มี.ค.65 ที่ผ่านมา หลังวางแผนหลอกล่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ตรวจค้นอยู่ที่พัทลุง และ สงขลา ส่วนตัวหนีเข้ามากบดานอยู่ในกรุงเทพฯ

ซึ่งวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบได้นำตัวนายจำรัส รักจันทร์ หรือ ฉุย เขาจันทร์ พร้อมนายอัฐพล หรือรวย ใหม่อ่อน และน้องน้ำฝน กลับมาสอบสวนเพิ่มเติม โดยนายฉุย ฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบเพิ่มเติมนานเกือบ 2 ชั่วโมง แต่ยังให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนยิงตำรวจกองปราบจนเสียชีวิต ขณะที่ตำรวจสอบเพิ่มเติมเรื่องอาวุธปืนนายของนายฉุย ฯ โดยเฉพาะอาวุธปืนยาวชนิด เอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก และอาวุธปืนสั้นอีกจำนวน 1 กระบอก ที่ใช้ต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจในวันเกิดเหตุ ซ่อนหรือทิ้งที่ไหนนั้น ปรากฎว่าในเวลาต่อมา นายอัฐพล หรือรวย ใหม่อ่อน ได้สารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจว่าอาวุธปืนขนาด .357 ซึ่งเป็นของนายฉุย ฯ แต่ฝากไว้ที่ตนเองนั้น ได้นำซ่อนที่ไว้บริเวณป่าหญ้าใกล้สวนปาล์ม จุดเดียวกันกับที่ตำรวจ ตรวจค้นได้อาวุธปืนสงครามไปได้จำนวน 1 กระบอก ไปเมื่อก่อนหน้านี้ ในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ตำบลโคกม่วง อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง

ขณะที่น้อง น.ส.น้ำ (นามสมมุติ) แฟนสาวของนายฉุย ฯ เล่าว่า ขณะหลบหนีจากพื้นที่จังหวัดพัทลุงเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 65ที่ผ่านมา ไปกับรถยนต์เก๋งสีขาว ไปถึง กทม.ตอนค่ำ และมีเพื่อนของนายอัฐพล หรือรวย ใหม่อ่อน พาไปเข้าพักที่โรงแรมดังกล่าว พร้อมซื้อเสื้อผ้าซึ่งเป็นชุดสีแดง ที่เหมือนกันทั้งหมดมาให้สวมใส่ เนื่องนายอัฐพล หรือรวย ใหม่อ่อน เป็นคนที่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง
สำหรับ นส.น้ำ(นามสมมุติ) บอกอีกว่า ตนได้อยู่กับนายฉุย ฯ ตลอดเวลา แม้กระทั่งวันเกิดเหตุ ตนก็นั่งรถคันเดียวไปกับนายฉุย ฯ โดยอ้างว่านายฉุยฯ ไม่ได้ยิงตำรวจจนเสียชีวิต เพราะตอนนั้นนายฉุยฯ ทำหน้าที่ขับรถเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

และในวันนี้หลังจากสอบสวนแล้วเสร็จ ทางตำรวจก็ได้นำตัวผู้ต้องหาฝากขังที่ สภ.เมืองพัทลุง ก่อนที่จะนำตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมในวันนี้พรุ่งนี้(วันที่ 27 มี.ค.65) หากทางผู้ต้องหายอมรับสารภาพ ก็จะนำตัวไปชี้จุด ทำแผนประกอบคำรับสภาพภาพยังจุดเกิดเหตุต่อไป.